แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เพิ่มชื่อโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเช่นเดียวกับคดีหลัง แต่คดีก่อนได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาก่อนโจทก์ฟ้องคดีหลังโจทก์ได้ฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นคดีหนึ่งซึ่งคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไข เมื่อไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ย่อมแสดงว่าเงื่อนไขตามสัญญาไม่สำเร็จผล สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมตกไปไม่มีผลบังคับ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาตามยอมเช่นนี้ คำพิพากษาตามยอมเป็นอันตกไปไม่มีผลบังคับเช่นกัน จึงถือไม่ได้ว่าคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีหลัง โจทก์จึงฟ้องคดีหลังได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากัน ระหว่างสมรสได้ร่วมกันซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 2 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 21344 และ 21345 ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ โดยใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเพียงผู้เดียว โจทก์ได้ขอลงชื่อร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามฟ้องและศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วในคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิมายื่นฟ้องเป็นคดีนี้อีกเป็นฟ้องซ้ำ ทั้งโจทก์และจำเลยได้หย่าขาดจากกันตั้งแต่ปี 2534 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยแถลงยอมรับข้อเท็จจริงว่า ที่ดินตามฟ้องโฉนดเลขที่21344 และ 21345 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยตามคำให้การทั้งหมด แต่ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์จำเลยไม่สืบพยาน แต่ขอให้นำสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 และคดีหมายเลขแดงที่ 293/2540 ของศาลชั้นต้นมาประกอบการวินิจฉัยคดีนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 21344 และ 21345 ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หากไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันฟังเป็นยุติว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลย เดิมโจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้เพิ่มชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมกับจำเลยในที่ดินตามฟ้องมาแล้ว โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีดังกล่าว โดยตกลงจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสินสมรสให้แก่ผู้มีชื่อในราคา 2,000,000 บาท ภายใน 1 เดือน แล้วนำเงินมาแบ่งกันโดยถือว่า เป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่าย ศาลพิพากษาตามยอม ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้น ต่อมาโจทก์จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้โดยผู้มีชื่อเปลี่ยนใจไม่ซื้อ จึงมีการทำข้อตกลงเพื่อจัดการสินสมรสกันใหม่ว่าจำเลยจะหาผู้ซื้อรายใหม่มาซื้อที่ดินในราคาไม่ต่ำกว่า 2,000,000 บาท แล้วจะแบ่งเงินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือหากจำเลยหาเงินมาได้1,000,000 บาท จำเลยจะซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เป็นของโจทก์ภายใน 1 เดือนหากไม่สามารถดำเนินการได้ จำเลยยินยอมแบ่งที่ดิน 1 แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 17 พฤษภาคม2539 ต่อมาจำเลยไม่สามารถหาผู้ซื้อรายใหม่และไม่สามารถหาเงิน 1,000,000 บาทได้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์เลือกและโจทก์ได้เลือกแล้ว แต่จำเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 21344พร้อมสิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ให้แก่โจทก์ ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 293/2540 ของศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความตามคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539ของศาลชั้นต้น เป็นสัญญามีเงื่อนไขไม่สามารถสำเร็จผลอันมีผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความตกไปไม่มีผลบังคับ ส่วนข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2539 ในคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 เป็นการตกลงกันระหว่างโจทก์กับจำเลยเพื่อจัดการทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาระหว่างสมรส คู่สมรสมีสิทธิบอกล้างได้และจำเลยได้บอกล้างข้อตกลงดังกล่าวแล้ว สัญญาระหว่างสมรสของโจทก์กับจำเลยจึงเป็นอันสิ้นผล โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามข้อสัญญาได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้อง จำเลยขอให้เพิ่มชื่อโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังเช่นคดีนี้ แล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วก็ตาม แต่ต่อมาภายหลังโจทก์ได้ฟ้องจำเลยตามคดีหมายเลขแดงที่ 293/2540 ของศาลชั้นต้น และคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไข เมื่อโจทก์จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ย่อมแสดงว่าเงื่อนไขตามสัญญาไม่สำเร็จผล สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมตกไปไม่มีผลบังคับ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาตามยอมเช่นนี้ คำพิพากษาตามยอมเป็นอันตกไปไม่มีผลบังคับเช่นกัน ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นนั้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน