คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าตึกของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดี ถือได้ว่าโจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนามาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อตึกแถวเลขที่ 2-2/1 ได้จากการขายทอดตลาดของศาลจังหวัดลพบุรี ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531 เมื่อซื้อได้แล้วโจทก์แจ้งให้จำเลยและบริวารซึ่งอาศัยอยู่ในตึกแถวดังกล่าวขนย้ายออกไป แต่จำเลยและบริวารไม่ยอมออก ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายออกไปจากบ้านดังกล่าวและห้ามเข้าเกี่ยวข้องอีก กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 8,000 บาท
จำเลยให้การว่า สัญญาเช่าดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัวระหว่างจำเลยกับกรมการศาสนา เมื่อสัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดจำเลยจึงมีสิทธิอยู่อาศัยตามสัญญาเช่า โจทก์ยังมิได้รับความยินยอมจากกรมการศาสนาให้เข้าทำนิติกรรมใด ๆ อันจะก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ในตึกแถวพิพาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย หากนำตึกแถวพิพาทให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 200 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ในวันสืบพยานนัดแรก โจทก์และจำเลยรับข้อเท็จจริงกันว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531 สิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นของจำเลยซึ่งเช่าจากกรมการศาสนา และจำเลยถูกบังคับคดีในคดีดังกล่าว ขณะนี้สัญญาเช่ายังไม่หมดอายุ และขณะนี้โจทก์กำลังดำเนินการทำสัญญาเช่ากับกรมการศาสนาอยู่ โดยโจทก์ยังไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาท โจทก์และจำเลยขอให้ศาลพิพากษาไปตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังที่รับกันและตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการบังคับคดีตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 597/2531ของศาลชั้นต้น สำหรับค่าเสียหายให้ศาลกำหนดตามที่เห็นสมควรโดยโจทก์และจำเลยไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณา ให้นัดฟังคำพิพากษา ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2532
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปจากตึกแถวเลขที่ 2-2/1 (ปัจจุบันเลขที่ 2) ถนนราชดำเนินซอย 2ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องตึกแถวดังกล่าวอีก ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกไปจากตึกแถว
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 8,000 บาทตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทหรือไม่นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่ต้องห้าม คดีนี้เมื่อได้พิจารณาคำฟ้องโจทก์คำให้การจำเลยประกอบข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยแถลงรับกันฟังได้ว่า ตึกพิพาทโจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531ของศาลชั้นต้นแล้วนั้น ข้อเท็จจริงดังที่ปรากฏดังกล่าวมาแล้วกรณีย่อมถือได้ว่าสิทธิการเช่าตึกของจำเลยต่อกรมการศาสนาตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนานั้น โจทก์ได้มาจากการขายทอดตลาดโดยการบังคับคดีของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531ซึ่งถือได้ว่าเป็นการได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ส่วนเรื่องที่โจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกพิพาทจากจำเลยมาแล้วจะเข้าอยู่ในตึกพิพาทได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องระหว่างกรมการศาสนากับโจทก์ไม่เกี่ยวกับสิทธิการเช่าที่โจทก์ได้มาโดยการขายทอดตลาดตามวิธีการบังคับคดีแต่ประการใด ด้วยเหตุและผลดังได้วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทตามกฎหมายได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share