คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีแพ่ง เมื่อจำเลยให้การรับตามฟ้องของโจทก์แล้วโจทก์ก็ไม่ต้องสืบพะยานในข้อที่จำเลยรับ.
สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นสถานที่ทำการ หาใช่เป็นเคหะไม่ เพราะมิใช่เป็นที่อยู่อาศัย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า.
(อ้างฎีกา ที่ 1099,1147/2491)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาเช่าบ้านของโจทก์ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา โดยสัญญาว่า ในกรณีที่ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่า ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าภายใน ๓ เดือน บัดนี้ จำเลยผิดสัญญา โดยโจทก์บอกเลิกสัญญาให้ทราบล่วงหน้าเกิน ๓ เดือนแล้ว จำเลยไม่เลิก จึงขอให้ขับไล่ จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาตามฟ้องจริง แต่มิได้ผิดสัญญาจำเลยได้ใช้เป็นที่ทำการ กับให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัยกินอยู่หลับนอน จำเลยได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ และฟ้องของโจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกไปทางจำเลยแล้ว แต่จำเลยหาที่ไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายงดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยได้ให้การรับว่าได้ทำสัญญาเช่าตามฟ้องจริง และยังได้แถลงรับว่าโจทก์ได้เคยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย ๆ แจ้งว่าหาที่ไม่ได้ โจทก์จึงไม่ต้องสืบพยานในข้อที่จำเลยรับ และฟังตามที่จำเลยรับว่าจำเลยเช่าเพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานพาณิชย์จังหวัด และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยแล้ว ส่วนที่จำเลยแก้ว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัยกินอยู่หลับนอน เป็นแต่คำกล่าวอ้างของจำเลยซึ่งรับฟังไม่ได้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นสถานที่ทำการหาใช่เป็นเคหะไม่ เพราะมิใช่เป็นที่อยู่อาศัย
พิพากษายืน

Share