คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ไปแล้ว จะยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหนี้เมื่อล่วงเลยกำหนดระยะเวลา 2 เดือน ตามบทบัญญัติมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 นั้น หาอาจทำได้ไม่ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการยื่นฟ้องการแก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา 179,180 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาอนุโลมใช้ได้อีก.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งห้าเด็ดขาดเจ้าพนักงานทรัพย์ได้ประกาศโฆษณาคำสั่งคำสั่งดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและครบกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้วันที่ 9 กันยายน 2528 มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดรวม 12 ราย ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเจ้าหนี้รายที่ 20 เป็นเงิน 13,302,341.33 บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งว่า สิ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้และได้ตรวจคำขอรับชำระหนี้ไปแล้ว ทั้งจากการตรวจสอบหลักฐานการขอรับชำระหนี้ไม่ใช่ขอแก้เนื่องจากพิมพ์ผิดหรือผิดพลาดเล็กน้อย หากอนุญาตอาจทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเนื่องจากผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้วภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย ผู้ร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนเงินที่ขอรับชำระหนี้เป็นการขอแก้ไขจำนวนเงินให้ถูกต้องตามความเป็นจริงเท่านั้นไม่ได้ขอแก้ไขรายละเอียดหรือเพิ่มเติมหนี้ เป็นการแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อยเนื่องจากการตรวจสอบรวบรวมยอดหนี้สินผิดพลาด ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมของผู้ร้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า ผู้ร้องขอแก้ไขจำนวนเงินเมื่อสิ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้แล้ว อีกทั้งได้มีการตรวจคำขอรับชำระหนี้ไปแล้ว หากอนุญาตให้แก้ไขได้จะทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ การขอแก้ไขจำนวนเงินของผู้ร้องเป็นการขอแก้ไขทำให้จำนวนเงินสูงขึ้นถึง 4 ล้านบาทเศษ เท่ากับเป็นการยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายหลังเมื่อพ้นกำหนด 2 เดือนแล้วเป็นการขยายเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้และมิใช่เป็นข้อผิดหลงเล็กน้อย หรือเกิดจากการพิมพ์ผิดพลาด ผู้ร้องจึงขอให้แก้คำขอรับชำระหนี้ไม่ได้ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ 13,302,341.33 บาท ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมจำนวนหนี้เป็น 17,602,341.43 บาทเมื่อล่วงเลยระยะเวลา 2 เดือน ตามที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ ภายในกำหนดระยะเวลา 2 เดือน ที่กฎหมายกำหนดไว้ การขอเพิ่มเติมภายหลังจากที่ครบกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้วก็เพื่อให้ครบถ้วนถูกต้องเนื่องจากผิดพลาดในการคำนวณดอกเบี้ยซึ่งเป็นการผิดพลาดเล็กน้อยและเป็นมูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเป็นกรณีที่ต้องนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179, 180มาใช้โดยอนุโลมนั้น เห็นว่า การขอรับชำระหนี้ของบรรดาเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะนอกจากนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว มาตรา 104 ยังกำหนดเงื่อนไขให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดหมายให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้ทั้งหลายมาพร้อมกันเพื่อตรวจคำขอรับชำระหนี้ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์จะคัดค้านหนี้รายใด ว่าไม่สมบูรณ์ไม่มีสิทธิ หรือไม่ถูกต้องประการใด ได้กระทำเสียแต่ในชั้นแรกก่อนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเริ่มทำการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้เป็นแต่ละราย ดังนั้นหากจะถือว่าการขอรับชำระหนี้เป็นกรณีเดียวกันกับการยื่นฟ้องคดีแพ่งทั้วๆ ไปและเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะแก้ไขเพิ่มเติมได้ภายในเงื่อนไขตามมาตรา 179, 180 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว การดำเนินการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 104 ดังกล่าวข้างต้นก็จะเป็นไปด้วยความยุ่งยาก ดังนั้นเมื่อพระราชบัญญัติล้มละลายได้กำหนดเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาอนุโลมใช้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้วฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share