คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ประมูลซื้อสินเชื่อของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ธ. รวมทั้งบัญชีสินเชื่อของโจทก์จากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ตาม พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 30, 30 ทวิ และ 30 ตรี จึงมีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้โจกท์ในฐานะลูกหนี้ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ธ. ชำระหนี้ได้ ดังนั้น การที่จำเลยฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยเรียกร้องให้โจทก์ชำระหนี้ดังกล่าว โดยไม่ปรากฏว่ามีการจงใจกลั่นแกล้งหรือประมาทเลินเล่อในการฟ้องโจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จึงยังไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดใช้สิทธิโดยไม่สุจริตร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 3732/2544 ของศาลชั้นต้น ตามคำฟ้องคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 7 เป็นผู้รับมอบอำนาจได้บรรยายฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์สินเชื่อของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด (มหาชน) รวมทั้งบัญชีสินเชื่อของโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวโดยโจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ 1 เป็นต้นเงิน 1,178,167.62 บาท กับดอกเบี้ย 1,052,781.55 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,230,949.17 บาท ขอให้บังคับโจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยที่ 1 ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เป็นผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์สินเชื่อของบริษัทดังกล่าว ซึ่งประมูลขายสินทรัพย์สินเชื่อของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการโดยองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) รวม 7 ครั้ง ไม่ปรากฏชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ประมูลซื้อได้ โดยรายงานประจำปี 2542 ของจำเลยที่ 1 ระบุว่าซื้อสินทรัพย์สินเชื่อของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการคือกลุ่มสินทรัพย์แกมม่าและโอเมก้าซึ่งไม่เป็นจริงจำเลยที่ 7 เบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวยอมรับเอกสารเหล่านี้และเบิกความว่ากลุ่มสินทรัพย์ตามสัญญาขายคือกลุ่มสินทรัพย์ซึ่ง เอ.เอส.โอ.วัน (เดลาแวร์) แอล.แอล.ซี. เป็นผู้ประมูลได้ สัญญาขายดังกล่าวซึ่งจำลยที่ 1 นำมาฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ลงนามในสัญญาขายให้ผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์สินเชื่อได้แล้ว จึงไม่อาจนำมาขายให้จำเลยที่ 1 ได้อีก ฝ่ายผู้ขายคือ นางวชิรา ณ ระนอง กับผู้ซื้อคือจำเลยที่ 1 ลงนามในสัญญาขายโดยไม่มีอำนาจเพราะเป็นสัญญาขายระหว่างบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (ผู้ขาย) กับกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล (ผู้ซื้อหรือจำเลยที่ 1) ไม่มีการมอบอำนาจให้นางวชิราในฐานะรักษาการเลขาธิการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ดำเนินการซื้อขายแทน ทั้งนางวชิราเป็นเพียงพนักงานขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เท่านั้น และจำเลยที่ 3 ได้ลงนามในฐานะผู้ซื้อแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยไม่มีอำนาจ เมื่อสัญญาโอนสินทรัพย์สินเชื่อรวมทั้งหนี้ของโจทก์ที่มีต่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด (มหาชน) ทำขึ้นโดยมิชอบจึงไม่มีผลผูกพัน การโอนสิทธิเรียกร้องไม่ได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่มีผลบังคับ ทั้งยังไม่บอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ทราบ จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจฟ้องคดีได้ จำนวนเงินซึ่งอ้างว่าโจทก์เป็นหนี้ก็เป็นความเท็จ เพราะโจทก์ผ่อนชำระหนี้เกินไปประมาณ 544,925 บาท จำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกดอกเบี้ยซ้ำซ้อนและเกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎหมาย หนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 นำมาฟ้องจึงไม่ถูกต้อง โจทก์เป็นหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด (มหาชน) ในการแต่งตั้งตัวแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ต่อมาตกลงเปลี่ยนแปลงระบบมาร์จิน จากบัญชี พี.เอ็น.มาร์จินเป็นบัญชีแคชมาร์จินเป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขซึ่งเป็นสาระสำคัญ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงหนี้ใหม่ หนี้ตามบัญชีเดิมจึงระงับสิ้นไป เมื่อบริษัทดังกล่าวถูกปิดกิจการหลักทรัพย์ของโจทก์ซึ่งเหลืออยู่แทบไม่มีราคาจึงไม่อาจขายนำมาชำระหนี้ได้เป็นเหตุสุดวิสัย การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัย โดยลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบคงเหลือเงินซึ่งโจทก์เป็นหนี้อยู่เพียง 1,127.62 บาท บริษัทดังกล่าวขายหลักทรัพย์ฝ่าฝืนข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและคิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องทั้งไม่ขายหลักทรัพย์ตามเวลาซึ่งโจทก์ขอปฏิบัติการชำระหนี้ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยกับมีการผ่อนชำระต้นเงินเกินหนี้แล้วจึงไม่ต้องรับผิดเช่นกันแต่จะต้องคืนเงินให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้เป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลจัดการธุรกรรมแทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 และที่ 4 กรรมการของจำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ฟ้องคดีได้ ซึ่งมีการมอบอำนาจช่วงให้จำเลยที่ 7 ฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าวอันเป็นความเท็จ ซึ่งหากโจทก์แพ้คดีจะต้องชำระหนี้ตามฟ้องเป็นเงิน 2,230,949 บาท ทั้งเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 2,230,949 บาท
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า คดียังไม่มีข้อโต้แย้งที่โจทก์จะใช้สิทธิทางศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ไม่รับฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า การที่จำเลยทั้งเจ็ดในฐานะเป็นผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์สินเชื่อของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด (มหาชน) รวมทั้งบัญชีสินเชื่อของโจทก์จากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 30, 30 ทวิ และ 30 ตรี จึงมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามกฎหมายมีสิทธิที่จะดำเนินการเรียกร้องให้โจทก์ในฐานะลูกหนี้ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด (มหาชน) ชำระหนี้ดังกล่าวได้ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งเจ็ดฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 3732/2544 ของศาลชั้นต้น เรียกร้องให้โจทก์ชำระหนี้ตามที่โจทก์เป็นหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด (มหาชน) โดยไม่ปรากฏว่ามีการจงใจกลั่นแกล้งหรือประมาทเลินเล่อในการฟ้องโจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่เป็นผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์สินเชื่อของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด (มหาชน) ก็ดี สำเนาสัญญาขายซึ่งจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 7 นำไปกล่าวอ้างฟ้องโจทก์เป็นสัญญาขายทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ดี มูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ยังมีหนี้คงค้างเป็นความเท็จก็ดี และข้อต่อสู้อื่นของโจทก์นั้นล้วนเป็นข้อที่โจทก์สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีหมายเลขดำที่ 3732/2544 ของศาลชั้นต้นได้โจทก์จะนำข้อมูลต่อสู้ดังกล่าวมาเป็นเหตุฟ้องร้องคดีนี้หาได้ไม่ ฟ้องของโจทก์จึงยังไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิที่จะใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ได้ สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้น รูปเรื่องไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share