คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหกล้อ และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 โดยจ้างจำเลยที่ 3 เป็นคนขับรถไปรับจ้างบรรทุกสินค้าพืชไร่ต่างๆ ตามปกติจำเลยที่ 3 เอารถไปเก็บไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 3 เสมอโดยความยินยอมของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2. วันเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกมันสำปะหลังไปส่ง แล้วนำรถไปเก็บที่บ้านของจำเลยที่ 3 ต่อมาตอนกลางคืนจำเลยที่ 3ขับรถดังกล่าวไปส่งผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจังหวัดนครราชสีมาขากลับจากโรงพยาบาลจำเลยที่ 3 จึงขับไปชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ดังนี้ ถึงแม้เหตุจะเกิดขึ้นในระหว่างที่จำเลยที่ 3 ขับรถไปธุระส่วนตัวโดยจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 ไม่ทราบก็ตาม แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 3 นำรถคันเกิดเหตุไปเก็บไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 3 นำรถออกไปใช้ได้ตลอดเวลา ตราบใดที่รถยังไม่กลับไปอยู่กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างก็ย่อมต้องถือว่าจำเลยที่ 3 ขับรถไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหกล้อและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์โจทก์เสียหาย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธความรับผิด เหตุเกิดเพราะความผิดของคนขับรถยนต์ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าเหตุเกิดเพราะความผิดของจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1ที่ 2 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 113,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ เห็นว่าเหตุเกิดเพราะความผิดของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 แต่จำเลยที่ 3 ไม่ได้ขับรถยนต์บรรทุกนั้นไปในทางการที่จ้างเป็นการขับรถไปโดยพลการ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 3ในผลแห่งละเมิด พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ด้วย

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์วิทยุตำรวจทางหลวงหมายเลขทะเบียนโล่ 02233 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน ลบ. 14948 และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3โดยจ้างจำเลยที่ 3 เป็นคนขับรถไปรับจ้างบรรทุกสินค้าพืชไร่ต่าง ๆ ตามปกติจำเลยที่ 3 เอารถไปเก็บไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 3 เสมอ โดยความยินยอมของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เกิดเหตุวันที่ 23 สิงหาคม 2521 เวลาประมาณ1 นาฬิกา จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปตามถนนสายโชคชัย – เดชอุดม มุ่งหน้าไปอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมาและด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง จำเลยที่ 3 ได้ขับรถยนต์ดังกล่าวชนรถยนต์วิทยุของโจทก์ตรงหลักกิโลเมตรที่ 22 – 26 ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 113,225บาท วันเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุบรรทุกมันสำปะหลังไปส่งแล้วนำรถไปเก็บที่บ้านของจำเลยที่ 3 ซึ่งอยู่ห่างบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ1 กิโลเมตร คืนวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ขับรถไปส่งผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจังหวัดนครราชสีมา ขากลับจากโรงพยาบาลจำเลยที่ 3 จึงขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 3ได้ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 หรือไม่ และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ถึงแม้เหตุจะเกิดขึ้นระหว่างที่จำเลยที่ 3 ขับรถไปธุระส่วนตัวโดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ทราบก็ตาม แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 3 นำรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปเก็บไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 3 นำรถออกไปใช้ได้ตลอดเวลา ตราบใดที่รถยังไม่กลับไปอยู่กับนายจ้างก็ย่อมต้องถือว่าจำเลยที่ 3 ขับรถไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดด้วย

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share