แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 40,000 บาท ไม่ใช่68,000 บาท ดังโจทก์ฟ้อง แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้แต่จำเลยเป็นฝ่ายอุทธรณ์ว่าสัญญากู้เป็นเอกสารปลอม เพราะจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยไม่ได้กรอกข้อความอื่นใดไว้ จึงมีประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ว่าสัญญากู้ปลอมหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 68,000 บาท กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2527 เมื่อถึงกำหนด จำเลยไม่ชำระเงินคืน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 81,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 68,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยเคยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ที่ยังมิได้กรอกข้อความไว้1 ฉบับ เหตุที่ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เพราะเมื่อประมาณปลายปีพ.ศ. 2526 โจทก์ได้ส่งนายดำเนิน อู๋สูงเนิน บุตรชายจำเลยไปทำงานที่ประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งโจทก์เป็นผู้ติดต่อหางานและสถานที่ทำงานให้และอาสาออกเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้นายดำเนินไปก่อน โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อนายดำเนินได้ทำงานตามที่โจทก์จัดหาแล้ว นายดำเนินต้องจ่ายค่าตอบแทนให้โจทก์เป็นเงินจำนวน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละหกต่อเดือนนับตั้งแต่วันส่งไปทำงานจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยต้องส่งเงินให้โจทก์ทุกเดือนนับตั้งแต่วันไปทำงานจนกว่าจะครบ หากนายดำเนินไม่ได้ทำงานเพราะโจทก์ไม่สามารถหางานให้ได้ โจทก์จะไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อเป็นการค้ำประกันข้อตกลงดังกล่าว โจทก์จึงให้จำเลยทำหนังสือกู้มอบให้โจทก์ไว้ 1 ฉบับจำเลยมอบหนังสือ ส.ค.1 เลขที่ 95/269 ให้โจทก์ยึดถือไว้ด้วยหลังจากนั้น 1 เดือนเศษนายดำเนินกลับประเทศไทย อ้างว่าโจทก์ไม่สามารถหางานให้ทำได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆข้อตกลงค้ำประกันที่จำเลยทำไว้กับโจทก์เป็นอันระงับไป โจทก์ได้คืน ส.ค.1 เลขที่ 95/269 แก่จำเลย แต่สัญญากู้โจทก์อ้างว่าฉีกทิ้งแล้ว ต่อมาโจทก์ขอร้องให้จำเลยช่วยค่าใช้จ่ายที่โจทก์สำรองจ่ายไปครึ่งหนึ่งจำเลยไม่ยอม ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันกู้ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันที่16 พฤศจิกายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยเชื่อว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ตามฟ้องจริงแต่กู้ไปจำนวนเพียง40,000 บาท ไม่ใช่จำนวน 68,000 บาท ดังโจทก์ฟ้อง เท่ากับศาลชั้นต้นไม่ยอมรับว่าสัญญากู้ตามที่โจทก์นำมาฟ้อง คือเอกสารหมาย จ.2 เป็นเอกสารที่ถูกต้องโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้ก็เท่ากับโจทก์ยอมรับว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน ประเด็นในข้อนี้จึงยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยได้อีกว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 ใช้บังคับได้หรือไม่ นั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้แต่จำเลยเองเป็นฝ่ายอุทธรณ์ว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 เป็นเอกสารปลอมเพราะจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยไม่ได้กรอกข้อความอื่นใดไว้ ดังนี้จึงมีประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 ปลอมหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเชื่อว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 ไม่ปลอมและบังคับจำเลยตามสัญญาเป็นการชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน