คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12299/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตาม ป.อ. มาตรา 371 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 (1) (8) ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์ร่วมทั้งสองมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือว่าปัญหาดังกล่าวสำหรับโจทก์ร่วมทั้งสองยุติลง โจทก์ร่วมทั้งสองไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาโจทก์ร่วมทั้งสองมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายประพันธ์ ผู้เสียหายที่ 1 และนายวิชาญ ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาพยายามฆ่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (1) (8) ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 10 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก (ที่ถูกคือข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก)
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ร่วมที่ 1 เบิกความว่า เมื่อเข้าไปสอบถามหากุญแจรถจักรยานยนต์จากพวกจำเลยที่นั่งดื่มสุรากันบริเวณระเบียงหน้าห้องพักหลังจากเคยสอบถามจำเลยและพวกที่ร้านคาราโอเกะ จำเลยกับพวกปฏิเสธว่าไม่ได้เอากุญแจรถของโจทก์ร่วมที่ 1 ไป เมื่อโจทก์ร่วมที่ 1 ถามหากุญแจรถจากจำเลยกับพวกขณะนั่งดื่มสุราที่หน้าระเบียงห้องพักอีก แล้วใช้เท้ายันตัวจำเลยไม่ให้ลุกขึ้นเพราะโจทก์ร่วมที่ 1 เห็นจำเลยกับพวกกำลังจะลุกขึ้นมาทำร้าย ทั้งโจทก์ร่วมที่ 1 เบิกความอีกว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนางพยุงหรือป้าขาว เจ้าของร้านคาราโอเกะซึ่งเป็นเจ้าของห้องพัก เปิดประตูมายืนตะโกนด่าโจทก์ร่วมที่ 1 ว่าจะมาวุ่นวายอะไรอีกให้กลับไปได้แล้ว จะมาหาเรื่องหรือ การที่โจทก์ร่วมที่ 1 กับพวกจะมาตามหากุญแจรถก็ไม่น่าจะทำให้พวกที่นั่งดื่มสุราอยู่เกิดความโกรธ เพราะจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีคำพูดหรือการกระทำใด ๆ ที่จะเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกโกรธเคืองได้ แต่ที่โจทก์ร่วมที่ 1 ใช้เท้ายันจำเลย โจทก์ร่วมที่ 2 ใช้หมวกนิรภัยตีพวกที่นั่งดื่มสุราอยู่โดยอ้างว่ากลัวพวกจำเลยจะทำร้าย หลังจากที่โจทก์ร่วมที่ 2 เดินนำหน้าเพื่อจะกลับมาที่รถจักรยานยนต์ โจทก์ร่วมที่ 2 ก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ารุมทำร้ายที่บริเวณด้านข้างโกดังและห้องพักใกล้ราวตากผ้า และโจทก์ร่วมที่ 1 ยังหันไปเห็นกลุ่มชายกลุ่มแรกมีคนหนึ่งถืออาวุธมีดมาด้วยเข้ารุมทำร้ายโจทก์ร่วมที่ 2 โจทก์ร่วมที่ 1 จึงเข้าไปช่วยโดยชกต่อยกับพวกชายที่กำลังทำร้ายโจทก์ร่วมที่ 2 อยู่ทำให้โจทก์ร่วมที่ 1 เสียหลักกำลังจะล้มไปทางด้านหลัง ขณะนั้นโจทก์ร่วมที่ 1 จึงหันไปทางด้านหลัง และเห็นจำเลยกระโดดเข้ามาใช้มีดขนาดความยาวประมาณ 1 ฟุต ฟันที่หน้าผากด้านซ้าย โดยมีแสงไฟจากหน้าห้องพักและสปอตไลท์ส่องสว่าง แต่พันตำรวจโทสมชาย พนักงานสอบสวน เบิกความว่า มาตรวจที่เกิดเหตุในคืนนั้นพบเศษขวดเบียร์สิงห์แตกอยู่เป็นคอขวดแตก และมีแสงไฟจากไฟสปอตไลท์บริเวณหน้าโกดังเพียงดวงเดียว อยู่ห่างจากที่เกิดเหตุขึ้นไปบนเสาประมาณ 5 ถึง 10 เมตร และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ตรวจดูที่เกิดเหตุเป็นสภาพที่มืด และหากยืนห่างประมาณ 1 วา สามารถมองเห็นหน้ากันได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายในคืนเกิดเหตุที่พนักงานสอบสวนได้ถ่ายไว้ ปรากฏว่าแสงไฟบริเวณที่เกิดเหตุเห็นได้ในระยะใกล้และยังมีการใช้ไฟฉาย นอกจากนี้ที่เกิดเหตุอยู่ด้านข้างโกดังของห้องพัก เมื่อพิจารณาจากแผนที่เกิดเหตุเสาไฟสปอตไลทอยู่ด้านหน้าโกดัง ที่เกิดเหตุมีตัวอาคารโกดังด้านข้างบังอยู่ ประกอบกับภาพถ่ายข้างต้นแสงไฟไม่ชัดเจนยังมีความมืดปรากฏอยู่ ทั้งการถ่ายรูปในเวลากลางคืนน่าจะต้องใช้แสงไฟจากกล้องถ่ายรูปช่วยให้มีความสว่างขึ้นกว่าปกติ อีกทั้งขณะที่โจทก์ร่วมที่ 1 กำลังเสียหลักล้มลงและไม่คิดว่าจะมีผู้ลอบทำร้ายจากด้านหลัง การที่โจทก์ร่วมทั้งสองจะเห็นคนทำร้ายได้จึงไม่สมเหตุผล นอกจากนี้เมื่อพันตำรวจตรีสมชายไปพบโจทก์ร่วมทั้งสองที่โรงพยาบาลได้สอบถามถึงสาเหตุและคนที่ทำร้าย โจทก์ร่วมทั้งสองยังไม่แจ้งว่าใครเป็นคนทำร้าย คงแจ้งเพียงว่ามีคนมารุมทำร้ายและใช้มีดฟัน ซึ่งได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่ากลุ่มคนที่มาทำร้ายโจทก์ร่วมที่ 2เป็นคนละกลุ่มกับพวกจำเลยซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ที่ระเบียงและในกลุ่มแรกก็มีอาวุธมีดมาด้วย ส่วนจำเลยนำสืบว่า เมื่อถูกโจทก์ร่วมทั้งสองทำร้ายแล้วก็มิได้โต้ตอบ แต่มีคนพาจำเลยเข้าไปในห้องพัก เมื่อถูกจับกุมก็ให้การปฏิเสธ ดังนั้นพยานโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share