แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครอง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาร้าย ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยและผู้เสียหายต่างคนต่างสมัครใจไปหางานทำด้วยกัน จำเลยไม่ได้เป็นผู้พรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครอง ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจพรากเด็กอายุ ๑๒ ปีไปจากบิดามารดาผู้ปกครองโดยปราศจากเหตุอันสมควร
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ ๒ ปาก แล้วงดสืบพยานโจทก์จำเลย วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาร้าย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยและผู้เสียหายต่างสมัครใจไปทำงาน พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้พรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครอง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีเจตนาร้ายศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและผู้เสียหายต่างคนต่างสมัครใจไปทำงานด้วยกันจำเลยไม่ได้เป็นผู้พรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครอง เป็นกรณีที่ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้จะฟังข้อเท็จจริงต่างกันก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ (ตามฎีกาที่ ๘๘๗/๒๕๐๓) โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
พิพากษายืน.