คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อความในสัญญาฉบับเดียวกันขัดแย้งกันเอง และไม่ชัดเจนพอที่จะพิจารณาถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาได้ศาลจะให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียโดยพิจารณาแต่เพียงตัวสัญญาเท่านั้นย่อมไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้ ศาลต้องสืบพยานต่อไปตามข้อต่อสู้ของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่ จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาเช่ายังไม่สิ้นอายุ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาให้ขับไล่

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า สัญญาข้อ 1 และสัญญาข้อ 10มีข้อความขัดแย้งกันอยู่ในตัว กล่าวคือ สัญญาข้อ 1 คู่สัญญากำหนดระยะเวลาเช่ากันไว้ 3 ปี แต่ในสัญญาข้อ 10 กล่าวไว้อย่างคลุมเครือว่า เมื่อฝ่ายใดจะต้องการเลิกสัญญาก็ให้บอกให้อีกฝ่ายรู้ล่วงหน้าก่อน 1 เดือนมิได้กล่าวไว้ให้ชัดเจนลงไปว่าในระหว่างอายุสัญญาเช่าหรือเมื่อครบสัญญาเช่าแล้ว ถ้าฝ่ายใดต้องการเลิกสัญญาก็ให้บอกให้รู้ล่วงหน้าก่อน 1 เดือน ศาลอุทธรณ์จึงเห็นว่าสัญญาเช่านี้มีความหมายไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะตีความไปอย่างใดอย่างหนึ่งได้ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความในสัญญาเช่าข้อ 1 และสัญญาเช่าข้อ 10 มีข้อความขัดแย้งกันอยู่ และไม่ชัดเจนพอที่จะพิจารณาถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาได้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไปตามข้อต่อสู้ของจำเลยแล้ว พิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลฎีกาเห็นด้วยฎีกาโจทก์จำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share