คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1219/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยว่าได้กระทำผิดในเรื่องเดียวกันหกสำนวน ซึ่งเกี่ยวเนื่องกันและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน การฟังพยานหลักฐานก็ต้องฟังรวมเป็นคดีเดียวกันเมื่อศาลฎีกาได้ยกปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ร่วมสำนวนที่ 3 ที่ 4และที่ 6 ขึ้นวินิจฉัย แม้ฎีกาของจำเลยในข้ออื่นจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในสำนวนของโจทก์ร่วมดังกล่าวได้ และย่อมมีอำนาจพิจารณาไปถึงข้อเท็จจริงในสำนวนที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ซึ่งต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ด้วย หากการกระทำของจำเลยในสำนวนใดไม่เป็นความผิด ศาลฎีกาก็ย่อมยกฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185

ย่อยาว

คดีทั้งหกสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยโจทก์ทั้งหกสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 80,279, 285, 91 และขอให้นับโทษจำคุกทุกสำนวนติดต่อกันด้วย จำเลยทั้งหกสำนวนให้การปฏิเสธ ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น มารดาของผู้เสียหายแต่ละสำนวนได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 80, 285รวม 5 กระทง มีความผิดฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 279, 285 รวม5 กระทง ลงโทษทุกกระทงความผิดและนับโทษติดต่อกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ความผิด 5 กระทงแรกจำคุกกระทงละ 7 ปี ความผิด 5 กระทงหลังจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 37 ปี 6 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลย 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เนื่องจากจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน คงจำคุกจำเลย 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมสำนวนที่ 3 ที่ 4 ที่ 6และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมสำนวนที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 ว่า การที่จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธ ไม่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน มิใช่เป็นการลุแก่โทษ ไม่เข้าเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะลดโทษให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า ภายหลังการกระทำผิดจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนโดยดี ถือได้ว่าเป็นการลุแก่โทษ อันเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้แก่จำเลยหนึ่งในสามนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมสำนวนที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 ฟังไม่ขึ้นเมื่อได้ยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้ว แม้ฎีกาของจำเลยในข้ออื่นจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในสำนวนของโจทก์ร่วมสำนวนที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 ได้แต่เนื่องจากคดีทั้งสามสำนวนนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าได้กระทำผิดในเรื่องเดียวกันอีก 3 สำนวน ซึ่งได้กระทำผิดเกี่ยวเนื่องกัน และศาลได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันแล้วการฟังพยานหลักฐานก็ต้องฟังรวมเป็นคดีเดียวกัน เมื่อจำต้องฟังพยานหลักฐานรวมกันเช่นนี้หากการกระทำของจำเลยในสำนวนใดไม่เป็นความผิดแล้ว ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจพิจารณาไปถึงข้อเท็จจริงในสำนวนที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ซึ่งต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185”
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 285 รวม2 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 8 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยตามมาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลย 6 ปี ข้อหานอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share