แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแรกจำเลยฟ้องโจทก์ขอหย่าและแบ่งสินสมรส ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้หย่า และแบ่งสินสมรสตามบัญชีทรัพย์สินท้ายฟ้องไปแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีที่สองว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสรวมอยู่ในโฉนดที่ดินสินสมรสแปลงหนึ่ง ซึ่งเจ้าหนี้ฟ้องบังคับจำนองขายทอดตลาดและโจทก์เป็นผู้ซื้อได้ ขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเป็นชื่อของโจทก์ ศาลวินิจฉัยว่า ที่พิพาทมิใช่ส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่เจ้าหนี้ฟ้องบังคับจำนอง ซึ่งโจทก์ซื้อมาพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ว่าที่พิพาทเป็นสินสมรส ที่โจทก์จำเลยร่วมกันซื้อมาระหว่างสมรส ยังมิได้แบ่งในคดีแรก ขอแบ่ง ดังนี้ ฟ้องคดีหลังนี้อ้างเหตุคนละอย่างกับคดีที่สอง จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่สอง แต่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก เพราะแม้ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องคดีหลังนี้จะเป็นคนละอย่างกับคดีแรก แต่เป็นการเรียกทรัพย์จากจำเลยมาแบ่งเป็นสินสมรสเช่นเดียวกัน เป็นประเด็นเดียวกับคดีแรก ซึ่งได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุเดียวกัน จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นชี้ขาดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่ได้หย่าขาดจากกันตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ ๔๒๐/๒๕๐๙ คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดกัน และให้แบ่งสินสมรสตามบัญชีท้ายฟ้อง โดยให้ขายทอดตลาดเอาเงินที่เหลือจากการหักใช้หนี้จำนองแบ่งกันคนละครึ่ง ในระหว่างที่โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน โจทก์จำเลยได้ซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ ๑๘๕๑๗ เนื้อที่ ๑๐ ตารางวา โดยใช้ชื่อจำเลยเป็นผู้มีชื่อในโฉนด เมื่อหย่าขาดจากโจทก์แล้วจำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตแบ่งแยกที่ดินสินสมรสจำนวน ๒๐ ตารางวาออกจากโฉนดเลขที่ ๑๘๕๑๗ มาเป็นโฉนดใหม่เลขที่ ๒๙๓๔๐ และไม่ยอมให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย จำเลยรับโฉนดมายึดถือไว้โดยโจทก์ไม่รู้เห็น ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ ให้แก่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๘๗๑๑/๒๕๑๔ ระหว่างนายสำลี บัวมาดี โจทก์ นางสมหญิง สดสมศรี จ.ล. ซึ่งศาลแพ่งได้พิจารณาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว จำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวจากโจทก์ ที่ดินจำนวน ๑๐ ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ซึ่งโจทก์จำเลยตกลงแบ่งสินสมรสกันเรียบร้อยแล้ว เพราะสินสมรสส่วนอื่นโจทก์ได้รับไปแล้ว คำพิพากษาในคดีฟ้องหย่าหมายเลขแดงที่ ๔๒๐/๒๕๐๙ ของศาลแพ่งจึงมิได้กล่าวถึง เมื่อโจทก์จำเลยขาดจากการเป็นสามีภริยากันตามคำพิพากษาของศาลแล้ว จึงไม่มีสิทธิจะมาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๘๗๑๑/๒๕๑๔ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังเป็นว่ายุติได้ว่า เดิมจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอหย่าและขอแบ่งที่ดินสินสมรส ๓ แปลง ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง คือที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โฉนดเลขที่ ๑๘๕๑๘ และโฉนดเลขที่ ๒๗๐๓๔ กับที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๕๕ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา และให้แบ่งที่ดินสินสมรสทั้ง ๓ แปลง คดีถึงที่สุด ในชั้นบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๕๕ และ ๒๗๐๓๔ เอาเงินแบ่งกัน ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๒๐/๒๕๐๙ ของศาลแพ่ง ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๕๑๘ บริษัทธนาคารไทยทนุจำกัด ได้ฟ้องบังคับจำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้จำนอง โจทก์คดนี้เป็นผู้ซื้อได้ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๗๘๒/๒๕๐๘ ของศาลแพ่ง โจทก์จึงฟ้องจำเลยขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ เนื้อที่ ๑๐ ตารางวา ที่แบ่งแยกจากโฉนดเลขที่ ๑๘๕๑๗ อ้างว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินสินสมรส ได้ถูกบังคับคดีรวมกันกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๕๑๘ นั้นด้วย คดีถึงที่สุดชั้นศาลชั้นต้น วินิจฉัยว่า คดีที่บริษัทธนาคารไทยทนุจำกัด เป็นโจทก์ฟ้องบังคับจำนองแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๕๑๘ แปลงเดียวเท่านั้น และไม่เชื่อว่าที่ดิน ๑๐ ตารางวาตามโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์พิพากษาให้ยกฟ้อง ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๘๗๑๑/๒๕๑๔ ของศาลแพ่ง โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ เนื้อที่ ๑๐ ตารางวา ที่พิพาทกันในคดีนี้ ตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดเลขที่ ๑๘๕๑๗ มีชื่อจำเลยร่วมกับนางสมพงษ์ วัฒนวิเชียร และนายทองใบ นิลเอว ซื้อจากนางปราณี เกษมศานติ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมเป็นโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๘๗๑๑/๒๕๑๕ นั้น โจทก์กล่าวฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ เป็นที่ดินสินสมรสที่ถูกบริษัทธนาคารไทยทนุ จำกัดฟ้องบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๕๑๘ และบังคับคดีขายทอดตลาดรวมเอาที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ มาด้วย โจทก์เป็นผู้ซื้อได้ จึงขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ เป็นชื่อของโจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์กล่าวฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ ในระหว่างเป็นสามีภริยากัน และยังไม่ได้แบ่งที่ดินสมรสแปลงดังกล่าว จึงขอแบ่ง เป็นการอ้างเหตุคนละอย่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำดังที่ศาลล่างพิพากษาต้องกันมา แต่ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๒๐/๒๕๐๙ เรื่องขอหย่าและขอแบ่งสินสมรสซึ่งโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ก็มิได้ให้การถึง หรือฟ้องแย้งขอให้นำที่ดินสินสมรสโฉนดเลขที่ ๒๙๓๔๐ มาแบ่งด้วย และในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๒๐/๒๕๐๙ ศาลได้พิพากษาแบ่งสินสมรสเสร็จสินไปแล้ว แม้ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์คนละอย่างกับคดีก่อน แต่ก็เป็นการเรียกทรัพย์จากจำเลยมาแบ่งเป็นสินสมรสเช่นเดียวกัน เป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อน ซึ่งได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ และปัญหาาในเรื่องฟ้องซ้ำนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจชี้ขาดในประเด็นข้อนี้ได้
พิพากษายืน