คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พินัยกรรมมีข้อความว่า “ฯลฯ ข้อ 1. ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่กรรมไปแล้ว บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าขอยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่นางขำ เรืองแสงภรรยาของข้าพเจ้าทั้งสิ้นถ้าภรรยาข้าพเจ้าชีวิตหาไม่แล้ว จึงให้ทรัพย์นั้นตกทอดแก่บุตรผู้ที่ได้ระบุนามไว้ในพินัยกรรมนี้ ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งกำหนดไว้ดังต่อไปนี้ ฯลฯ” ดังนี้ ต้องแปลว่าผู้ทำพินัยกรรมตั้งใจยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่นางขำภรรยาแต่ผู้เดียวโดยเด็ดขาด แต่นางขำหามีชีวิตไม่ กล่าวคือตายเสียก่อน ผู้ทำพินัยกรรมจึงยกทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ที่ระบุนามไว้ ฉะนั้นเมื่อผู้ทำพินัยกรรมตายก่อนนางขำ ทรัพย์มรดกจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางขำโดยสิ้นเชิง ข้อความว่าที่ว่า ถ้านางขำหาชีวิตไม่แล้ว จึงให้ตกแก่ผู้มีนามดังระบุไว้ก็ไม่มีผล และเมื่อต่อมานางขำตาย ทรัพย์นั้นก็ตกได้แก่ทายาทนางขำ

ย่อยาว

ได้ความว่า นายสุดผู้ตายได้ทำพินัยกรรมซึ่งมีความว่าบรรดาทรัพย์ของนายสุดนั้นถ้านายสุดตายแล้วให้ตกได้แก่นางขำภริยาถ้านางขำตายให้ตกแก่นายโชติ (บิดาโจทก์) นางสุด นางชื้น (จำเลยที่ 2-3) ผู้เป็นบุตรคนละเท่า ๆ กัน ปรากฏว่าเมื่อนายสุดตายแล้ว ต่อมานายโชติตาย ส่วนนางขำยังมีชีวิตอยู่ จน พ.ศ. 2491 จึงตาย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรนายโชติจึงมาฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลยผู้เป็นบุตรนายสุดนางขำเป็นจำนวน 1 ใน 4 ส่วน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เมื่อนายโชติตายก่อนนางขำ สิทธิของนายโชติตามพินัยกรรมเป็นอันหมดไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(2) ส่วนของนายโชติจึงคงเป็นมรดกธรรมดาของนางขำ ซึ่งโจทก์จำเลยผู้เป็นทายาทจะพึงได้รับต่อไป

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่พิพาทไม่ใช่มรดกของนางขำ ๆ คงทรงสิทธิระหว่างนางขำยังไม่ตายเท่านั้น ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 485/2466 แต่โดยเหตุที่โจทก์ฟ้องในทางที่เป็นมรดกนางขำจึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะว่ากล่าวให้ถูกทาง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า พินัยกรรมมีข้อความว่า

” ฯลฯ ข้อ 1 ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่กรรมแล้ว บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่ และที่จะเกิดขึ้นมีมาในภายหน้า ข้าพเจ้าขอยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนางขำ เรืองแสงภรรยาของข้าพเจ้าทั้งสิ้นถ้าภรรยาข้าพเจ้าชีวิตหาไม่แล้ว จึงให้ทรัพย์นั้นตกทอดแก่บุตรผู้ที่ได้ระบุนามไว้ในพินัยกรรมนี้ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งกำหนดไว้ ดังต่อไปนี้ คือ ฯลฯ” เมื่ออ่านตามตัวอักษรที่เขียนไว้ เห็นได้ชัดว่า นายสุดตั้งใจยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่นางขำภรรยาแต่ผู้เดียวโดยเด็ดขาด แต่นางขำหามีชีวิตไม่ กล่าวคือตายให้แก่ผู้ที่ระบุนามไว้ ไม่มีข้อความใดรอนสิทธิของนางขำดังตัวคดีนี้นายสุดตายก่อนนางขำ ทรัพย์มรดกตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางขำโดยสิ้นเชิงแล้ว ฉะนั้นข้อความที่ว่าถ้านางขำหาชีวิตไม่แล้ว จึงให้ตกแก่ผู้มีนามดั่งระบุไว้ ก็ไม่มีผล นาที่โจทก์ฟ้องตกเป็นมรดกของนางขำตามพินัยกรรม นางขำตายตกได้แก่ทายาท จึงพิพากษากลับให้แบ่งนาพิพาทให้โจทก์ 1 ใน 4

Share