คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำแถลงการณ์เป็นหนังสือนั้นจำเลยมีสิทธิยื่นได้ก่อนวันศาลฎีกาพิพากษา ไม่จำเป็นต้องให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตก่อน เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นตามที่มีสิทธิจะยื่นได้ จึงถือว่าจำเลยไม่ติดใจยื่นคำแถลงการณ์ดังกล่าว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฎีกาจำเลยที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า การที่ บ. ได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อแล้ว จึงเป็นการโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำต้องทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การที่โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบถึงสิทธิในที่ดินพิพาทว่าบิดาโจทก์ซื้อที่พิพาทจาก บ. จึงมิใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบแทนเอกสาร หาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรของนายอ้วนกับนางคำหล้ามาลี หลังจากนางคำหล้าถึงแก่กรรม นายอ้วนไปอยู่กินกับจำเลยฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกัน 2 รายการ คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.) เลขที่ 1757 ราคาประมาณ 40,000 บาท กับบ้านเลขที่ 57ราคา 40,000 บาท นายอ้วนกับจำเลยจึงเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์สินดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่ง ต่อมานายอ้วนถึงแก่กรรมทรัพย์สินส่วนของนายอ้วนผู้ตายจึงตกแก่โจทก์ทั้งสี่ โจทก์ทั้งสี่ทวงถามให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินพิพาทแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งทรัพย์สินพิพาททั้งสองรายการให้แก่โจทก์ทั้งสี่กึ่งหนึ่ง หากไม่แบ่งให้นำทรัพย์สินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้แบ่งกันระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ฟ้องเรียกที่ดินมรดกเกินกว่า1 ปี คดีจึงขาดอายุความ ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินของจำเลยเพียงผู้เดียว มิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยกับผู้ตายทำมาหาได้ร่วมกันเพราะขณะที่ผู้ตายมาอยู่กินกับจำเลยผู้ตายไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวใด ๆส่วนบ้านพิพาทเป็นสินเดิมของจำเลย จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินพิพาททั้งสองรายการเพียงผู้เดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 1757 ตำบลสมสะอาด อำเภอเดชอุดมจังหวัดอุบลราชธานี กับบ้านเลขที่ 57 หมู่ 7 ตำบลสมสะอาดอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานีแก่โจทก์ทั้งสี่กึ่งหนึ่งหากจำเลยไม่แบ่งให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลย ถ้าไม่สามารถทำได้ก็ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้แบ่งกันฝ่ายละกึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยขอยื่นคำแถลงการณ์เป็นหนังสือต่อศาลฎีกาก่อนศาลฎีกามีคำพิพากษานั้น เห็นว่าจำเลยมีสิทธิยื่นได้ก่อนวันศาลฎีกาพิพากษาไม่จำเป็นต้องให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตก่อน เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นตามที่มีสิทธิจะยื่นได้ จึงถือว่าจำเลยไม่ติดใจยื่นคำแถลงการณ์ดังกล่าว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพราะการซื้อขายที่ดินพิพาทมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะโจทก์ทั้งสี่นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า การที่นางบู่ได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อแล้ว จึงเป็นการโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำต้องทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การที่โจทก์ทั้งสี่นำพยานบุคคลมาสืบถึงสิทธิในที่ดินพิพาทจึงหาต้องห้ามตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share