คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหัวหน้ายาม เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ตาย ผู้ตายไม่ได้อยู่ยามตามหน้าที่ จำเลยสอบถามดูแต่โดยดีผู้ตายกลับพูดทำนองไม่ยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้า และตรงเข้าต่อยเตะจำเลยทันที การที่จำเลยชกต่อยตอบโต้ไปบ้างย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่จะป้องกันได้ หาจำต้องให้ผู้ตายทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน และเมื่อผู้ตายเตะต่อยจำเลยล้มลงไปแล้วยังยืนรอจะทำร้ายจำเลยอีก พอจำเลยลุกขึ้นผู้ตายได้แทงจำเลยอีก 2 ครั้ง ครั้งที่สองถูกหน้าท้องถึงไส้ไหลจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด ในระยะห่าง 1 วา ขณะที่ผู้ตายขยับจะแทงเอาอีก หากจำเลยไม่ยิงผู้ตายก็อาจเข้าทำร้ายจำเลยถึงตายได้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๙๑ และพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ แก้ไข (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓
จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนข้อหาฆ่าผู้ตาย ต่อสู้ว่ากระทำโดยป้องกัน
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกับผู้ตายได้เกิดการวิวาทชกต่อยกันแล้วใช้อาวุธทำร้ายซึ่งกันและกัน จำเลยจะอ้างว่ากระทำโดยป้องกันไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๙๑ จำคุก ๒๐ ปี และผิดพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ แก้ไข (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓ จำคุก ๖ เดือน จำเลยรับข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ ๑ ใน ๔ คงจำคุก ๑๕ ปี ๔ เดือน ๑๕ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันชีวิตพอสมควรแก่เหตุหาใช่เรื่องวิวาทกันไม่ จำเลยไม่มีความผิด พิพากษาแก้ให้ยกข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ผู้ตายเป็นยาม จำเลยเป็นหัวหน้ายาม คืนเกิดเหตุเวลา ๒๑.๐๐ น.เศษ จำเลยไปตรวจยาม ปรากฏว่าผู้ตายไม่ได้อยู่ยามต่อมาประมาณ ๑๐ นาที พบผู้ตายเดินกลับจากตลาดมีอาการเมาสุรา จำเลยถามผู้ตายว่า “ประจวบ ลื้อไปไหนมา ไม่อยู่ยาม” ผู้ตายตอบว่า”อั๊วจะอยู่ก็ได้ ไม่อยู่ก็ได้” พูดแล้วผู้ตายก็ตรงเข้าเตะต่อยจำเลยแล้วต่างฝ่ายต่างชกต่อยกันจำเลยล้มลง ผู้ตายยืนรออยู่ พอจำเลยลุกขึ้น ผู้ตายก็เอาเหล็กขูดชาฟท์แทงจำเลย ๒ ครั้ง ครั้งที่สองถูกที่หน้าท้อง ไส้ไหล แล้วจำเลยดึงปืนออกจากเอวยิงผู้ตาย ๑ นัด วินิจฉัยว่าการที่จำเลยสอบถามผู้ตายถึงเรื่องผู้ตายไม่อยู่ยามตามปกติแต่โดยดี ผู้ตายกลับพูดทำนองไม่ยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าและตรงเข้าต่อยเตะจำเลยทันที ที่จำเลยชกต่อยตอบโต้ไปบ้างย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่จะป้องกันได้ หาจำต้องให้ผู้ตายทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน และเมื่อผู้ตายเตะต่อยจำเลยล้มลงไปแล้วยังยืนรอจะทำร้ายจำเลยอีก พอจำเลยลุกขึ้น ผู้ตายได้แทงจำเลยถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่สองถูกหน้าท้องถึงไส้ไหล จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป ๑ นัด ในระยะห่าง ๑ วา ขณะผู้ตายขยับจะแทงเอาอีก ถ้าหากจำเลยไม่ยิงผู้ตายก็อาจเข้าทำร้ายจำเลยถึงตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
พิพากษายืน

Share