แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินที่โจทก์ขายไป เดิม สามีโจทก์กับ ป. ร่วมกันซื้อมาเพื่อจัดสรรให้แก่บุคคลทั่วไป เมื่อสามีโจทก์ตาย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของสามีได้เลิกการเป็นหุ้นส่วนกับ ป. โดยตกลงแบ่งที่ดินเป็นของ ป. 66 แปลง เป็นของโจทก์ 53 แปลง เมื่อโจทก์จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินทั้ง 53 แปลงมาแล้ว โจทก์ได้ดำเนินการขายที่ดินนั้นต่อไปตามเจตนาเดิม ของเจ้ามรดก โดยโจทก์ได้จดทะเบียนการค้าประเภทค้าอสังหาริมทรัพย์ไว้ด้วย ดังนี้ การค้าที่ดินของโจทก์เป็นการขายทรัพย์สินที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรมิใช่เป็นการขายทรัพย์สินอันเป็นมรดกตามความหมายของ ป. รัษฎากรมาตรา 42(9) ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น จึงต้องนำเงินได้จากการขายที่ดินมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการขายที่ดินของโจทก์ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 11 ซึ่งต้องเสียภาษีการค้าอีกด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงินภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่โจทก์ชำระไปโดยไม่มีหน้าที่ต้องชำระ กับขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนการค้าของโจทก์ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย
จำเลยให้การว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน และคดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเข่ง แซ่ตั๊ง เดิมนายเข่ง แซ่ตั๊งได้ร่วมกับนายปัญญา บูรพาชีพซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1027 ตำบลหนองฉางอำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี เนื้อที่ 30 ไร่เศษ แล้วแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยเพื่อจัดสรรขาย โดยจดทะเบียนการค้าในนามของนายเข่งแซ่ตั๊ง เป็นผู้ประกอบการค้าต่อมาวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2522 นายเข่งแซ่ตั๊ง ถึงแก่ความตายโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเข่ง แซ่ตั๊งได้ตกลงเลิกการเป็นหุ้นส่วนกับนายปัญญา บูรพาชีพ และตกลงแบ่งที่ดินกันโดยตกลงให้เป็นของนายปัญญา บูรพาชีพ 66 แปลง เป็นของโจทก์ 53แปลง ดังปรากฏตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 แต่ในโฉนดทุกแปลงยังเป็นชื่อของนายปัญญาร่วมกับโจทก์ โจทก์ได้แจ้งเลิกประกอบการค้าของนายเข่ง แซ่ตั๊ง แล้วโจทก์ได้จดทะเบียนการค้าประเภทการค้า 11.การค้าอสังหาริมทรัพย์ ปรากฏตามใบทะเบียนการค้าเอกสารหมาย จ.7โจทก์ดำเนินการขายที่ดินที่ได้รับมรดกมานั้น โดยนำรายรับที่ขายที่ดินไปเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้ สำหรับปี พ.ศ. 2522 โจทก์เสียภาษีการค้า 51,000 บาท 95 สตางค์ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 71,514บาท ปี พ.ศ. 2523 เสียภาษีการค้า 46,315 บาท 50 สตางค์ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 53,989 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 222,819 บาท 45 สตางค์ต่อมาโจทก์เห็นว่าที่ดินที่โจทก์ขายไปนั้นเป็นมรดกที่โจทก์ได้รับมาจากนายเข่ง แซ่ตั๊ง ผู้เป็นสามี และการขายที่ดินนั้นเป็นการขายทรัพย์มรดกเพื่อนำเงินมาแบ่งให้แก่ทายาท ไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้ จึงได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินค่าภาษีที่ได้ชำระไปแล้ว แต่ทางการไม่ยอมคืน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง
ปัญหาวินิจฉัยมีว่า การที่โจทก์ขายที่ดินไปนั้นต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่ดินที่โจทก์ขายไปนั้น เดิมนายเข่งสามีโจทก์กับนายปัญญา บูรพาชีพได้ร่วมกันซื้อมาเพื่อจัดสรรขายให้แก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการซื้อมาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ครั้นเมื่อนายเข่งสามีโจทก์ถึงแก่ความตายและโจทก์จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินทั้ง 53 แปลงมาแล้ว โจทก์ก็ได้ดำเนินการขายที่ดินนั้นต่อไปตามเจตนาเดิมของเจ้ามรดก ทั้งโจทก์ก็ได้จดทะเบียนการค้าประเภทการค้าอสังหาริมทรัพย์ไว้ด้วยการขายที่ดินของโจทก์ดังกล่าวนั้นจึงฟังได้ว่าเป็นการขายไปในทางการค้าหากำไรเข้าลักษณะเป็นผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 11.ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าดังกล่าว ที่โจทก์อ้างว่าเพียงแต่จัดการขายที่ดินไปเพื่อจะแบ่งเงินให้แก่ทายาท และที่จดทะเบียนการค้าไว้ก็โดยความสำคัญผิดไม่มีเจตนาที่จะทำการค้าหรือหากำไรนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะให้รับฟัง
ส่วนโจทก์จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่นั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น บัญญัติไว้ว่า”เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
(1) ……….
……………
(9) การขายทรัพย์สินอันเป็นมรดก หรือการขายทรัพย์สินซึ่งทรัพย์สินนั้นได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร…” ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในตอนต้นว่า นายเข่งสามีโจทก์ซื้อที่ดินเหล่านี้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ครั้นเมื่อสามีโจทก์ตาย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จัดการขายที่ดินนั้นไปในทางการค้าหากำไรตามเจตนาเดิมของเจ้ามรดก ซึ่งในการขายทรัพย์ของโจทก์เช่นนี้ต้องถือว่าเป็นการขายทรัพย์สินที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร หาใช่เป็นการขายทรัพย์สินอันเป็นมรดกตามความหมายของมาตรา 42(9) นั้นไม่โจทก์จึงไม่ได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) ต้องนำเงินได้จากการขายที่ดินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนภาษีการค้าและภาษีเงินได้ที่ชำระไปแล้ว ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.