คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมและจำเลยต่างมีความประสงค์จะซื้อจะขายรถยนต์โดยมีการกำหนดราคาและเงื่อนไข จำเลยจะนำรถยนต์ของโจทก์ร่วมไปทดลองใช้ก่อน 7 วัน หากพอใจจำเลยจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ร่วม ข้อตกลงระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยส่อแสดงเจตนาว่าทั้งสองฝ่ายจะซื้อจะขายรถยนต์กันตั้งแต่เริ่มแรก การที่จำเลยได้รับมอบรถยนต์จากโจทก์ร่วมจึงเข้าลักษณะสัญญาซื้อขายเผื่อชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 505 หลังจากจำเลยรับมอบรถยนต์แล้วรถยนต์หายไปโดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ส่อแสดงเจตนาทุจริตของจำเลยว่ากุเรื่องรถยนต์หายเพื่อลวงโจทก์ร่วม เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยเป็นเรื่องการซื้อขายเผื่อชอบและโจทก์ร่วมได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลยทดลองขับ ถือว่าเป็นการตรวจดูแล้ว การซื้อขายย่อมเป็นอันบริบูรณ์กล่าวคือจำเลยมิได้บอกกล่าวว่าไม่ยอมรับซื้อและจำเลยมิได้ส่งมอบรถยนต์คืนภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 508(1)(2) แม้ขณะที่รถยนต์ของโจทก์ร่วมหายไปจำเลยจะมิได้ชำระราคารถยนต์แก่โจทก์ร่วม ก็เป็นเรื่องจะต้องไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่างหาก การกระทำไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมรถยนต์หมายเลขทะเบียน ค-8386 สงขลา จากนางสาววิภาดาหรือภนิดา ดิสสโร ผู้เสียหาย ซึ่งเช่าซื้อจากบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ จำกัด(มหาชน) ครั้นระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2539 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้เบียดบังเอารถยนต์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 950,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นางสาววิภาดา ดิสสโร ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 950,000 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) ราคา 925,728 บาท จำเลยประสงค์จะซื้อรถยนต์จากโจทก์ร่วม โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยจะต้องนำรถยนต์ไปทดลองใช้ก่อนเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2539 จำเลยได้รับมอบรถยนต์จากโจทก์ร่วมต่อมาจำเลยได้ขับรถยนต์มาทำธุระกิจที่กรุงเทพมหานคร

มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยยักยอกรถยนต์ของโจทก์ร่วมหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์ร่วมและจำเลยเบิกความสอดคล้องต้องกันรับฟังได้ว่าโจทก์ร่วมและจำเลยต่างมีความประสงค์จะซื้อจะขายรถยนต์โดยมีการกำหนดราคาและเงื่อนไข จำเลยจะนำรถยนต์ของโจทก์ร่วมไปทดลองใช้ก่อน 7 วัน หากพอใจจำเลยจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ร่วม ข้อตกลงระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยส่อแสดงเจตนาว่าทั้งสองฝ่ายจะซื้อจะขายรถยนต์กันตั้งแต่เริ่มแรก การที่จำเลยได้รับมอบรถยนต์จากโจทก์ร่วมจึงเข้าลักษณะสัญญาซื้อขายเผื่อชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 505หลังจากจำเลยรับมอบรถยนต์แล้วจำเลยเบิกความว่า ขณะนำรถยนต์มาจอดที่หน้าห้างสรรพสินค้าโตคิว รถยนต์หายไปจำเลยเข้าใจว่า ทางเจ้าพนักงานตำรวจนำรถยนต์ไปเก็บ จึงตามไปที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง แต่ไม่พบรถยนต์ จำเลยได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่ารถยนต์หายไป เจ้าพนักงานตำรวจอ้างว่าจะต้องให้เจ้าของรถยนต์ที่แท้จริงมาแจ้งความเอาเอง โจทก์ร่วมเบิกความว่า หลังจากครบกำหนด 7 วันได้ทวงถามจำเลย จำเลยบอกว่ารถยนต์หาย น่าเชื่อว่า ขณะที่โจทก์ร่วมทวงถามจำเลยในเรื่องเงินเป็นระยะเวลาภายหลังที่รถยนต์หายไปไม่กี่วัน การที่เจ้าพนักงานตำรวจไม่รับแจ้งความเรื่องรถยนต์หาย ก็เป็นเหตุผลที่เจ้าพนักงานตำรวจจะปฏิเสธไม่รับแจ้งความเนื่องจากจำเลยไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ที่แท้จริงซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจต้องการให้เจ้าของรถยนต์มาแจ้งความ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัย ทางพิจารณาไม่ปรากฏพฤติการณ์ส่อแสดงเจตนาทุจริตของจำเลยว่ากุเรื่องรถยนต์หายเพื่อลวงโจทก์ร่วม ทางนำสืบของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมคงมีแต่คำเบิกความของโจทก์ร่วมผู้เดียวลอย ๆ ว่า จำเลยยักยอกรถยนต์ของโจทก์ร่วม แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยเป็นเรื่องการซื้อขายเผื่อชอบ โจทก์ร่วมได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลยทดลองขับ ถือว่าเป็นการตรวจดูแล้ว การซื้อขายย่อมเป็นอันบริบูรณ์ กล่าวคือ จำเลยมิได้บอกกล่าวว่าไม่ยอมรับซื้อและจำเลยมิได้ส่งมอบรถยนต์คืนภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 508(1)(2) ขณะที่รถยนต์ของโจทก์ร่วมหายไปและจำเลยมิได้ชำระราคารถยนต์แก่โจทก์ร่วมเป็นเรื่องจะต้องไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่างหาก การกระทำไม่เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา

พิพากษายืน

Share