แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จะพิสูจน์ถ้อยคำของบุคคลที่กล่าวอ้างว่าได้เห็นเหตุการณ์ใด ๆ ว่าเป็นเท็จนั้น ไม่จำต้องมีประจักษ์พยานมายืนยันโดยตรงว่าบุคคลนั้นมิได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นเสมอไป ในบางกรณี รายละเอียดแห่งถ้อยคำของผู้นั้นโดยลำพังหรือประกอบด้วยพฤติการณ์ของผู้นั้นเอง ย่อมพิสูจน์ได้ในตัวว่าผู้นั้นกล่าวคำเท็จ
ฟ้องว่าจำเลยให้การเท็จในคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน ขอให้ลงโทษตามประมาวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,172 เมื่อพิจารณาได้ความตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 172
ฟ้องว่าจำเลยให้การในครั้งแรกว่าจำเลยได้ยินเสียงปืน อีกสักครู่ก้เห็น ค.ถือปืนสั้น กับท.และ จ. โผล่ออกมาจากข้างถนน แล้วตอนท้ายจำเลยว่า เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ ต.กับพวกใช้ปืนยิงด้วย ต่อมาจำเลยให้การในครั้งหลังว่า ผู้ตายขี่จักรยานหนี ต.กับพวก ท.และจ. ถ้อยคำที่ให้การนี้เป็นเท็จทั้งสิ้น ดังนี้ แม้ศาลจะฟังว่าเฉพาะคำให้การในครั้งหลังเป็นความเท็จเพียงตอนเดียว ก็ลงโทษตามมาตรา 172 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จในคดีอาญาที่นายใจ๋ นายทา นายตั๋นต้องหาว่าฆ่านายตือตาย โดยจำเลยให้การเป็นพยานชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๔ มีใจความว่า จำเลยกับนายสิงห์ดำขี่จักรยานไปซื้อหอม เกือบถึงป่าช้าบ้านท่าคุ้มก็ได้ยินเสียงปืนดังอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่ได้สนใจ สักครู่เห็นนายตั๋นถือปืนสั้นกับนายทานายใจ๋โผล่ออกมาจากข้างถนน นายตั๋นพูดห้ามจำเลยไม่ให้ไปว่าเขายิงกันข้างหน้า ให้กลับบ้านเสีย ในตอนท้ายจำเลยว่าจำเลยเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่นายตั๋นกับพวกใช้ปืนยิงและมาขู่จำเลยด้วย ต่อมาวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๐๕ จำเลยได้ให้การเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนมีใจความว่า นายตือผู้ตายขี่จักรยานหนี นายตั๋นกาับพวกนายทานายใจ๋วิ่งไล่ติดตามไปสัก ๑๐ ว่า นายตือล้มลง เมื่อนายทานายใจ๋วิ่งตรงไปที่นายตือ พอดีนายตั๋นเหลียวหน้ามาทางจำเลย นายตั๋นร้องบอกนายทานายใจ๋ว่าคนมา ๆ จำเลยก็เห็นนายทานายใจ๋วิ่งหนีไป ถ้อยคำนี้เป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงจำเลยมิได้รู้เห็นอะไรเลย ดังที่จำเลยได้ให้การต่อศาล(ในคดีที่อัยการศาลทหารฟ้องนายใจ๋นายทาว่าร่วมกันนายตั๋นฆ่านายตือ)ว่าจำเลยมิได้รู้เห็นอะไรเลย ทำให้พนักงานสอบสวน นายใจ๋ นายทา และนายตั๋น เสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗,๑๗๒
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมาวลกฎหมาายอาญามาตรา ๑๓๗,๑๗๒ ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๗๒ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ติดใจโต้เถียงข้อที่ศาลชั้นต้นเชื่อถ้อยคำที่จำเลยให้การไว้เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๕ ว่าเป็นความจริง ในชั้นฎีกาคงมีประเด็นว่า ที่จำเลยให้การในวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๐๕ ดังที่กล่าวไว้ในฟ้องนั้นเป็นถ้อยคำเท็จหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จะพิสูจน์ถ้อยคำของบุคคลที่กล่าวอ้างว่าได้เห็นเหตุการณ์ใด ๆ ว่าเป็นเท็จนั้น หาจำต้องมีประจักษ์พยานมายืนยันโดยตรงว่าบุคคลนั้นมิได้เห็นเหตุการณ์นั้นเสมอไปไม่ ในบางกรณีรายละเอียดแห่งถ้อยคำของผู้นั้นโดยลำพังหรือประกดอบด้วยพฤติการณ์ของผู้นั้นเองย่อมพิสูจน์ได้ในตัวว่าผู้นั้นกล่าวคำเท็จก็เป็นได้ เรื่องนี้จำเลยให้การในชั้นสอบสวน ๒ ครั้งไม่ตรงกัน ยิ่งเบิกความในชั้นศาลกลับตรงกันข้าม คำของจำเลยจะต้องเป็นเท็จไม่ครั้งใดก็ครั้งหนี่งเป็นอย่างน้อย
แล้วศาลฎีกาฟังว่า ที่จำเลยให้การต่พนักงานสอบสวนว่าจำเลยเห็นนายทานายใจ๋วิ่งไล่นายตือ เป็นความเท็จ ความจริงจำเลยไม่ได้เห็น ความเท็จข้อนี้ทำให้นายทานายใจ๋รวมทั้งพนักงานสอบสวนเสียหายแล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒
พิพากษากลับ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒ จำคุก ๑ ปี