คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1209/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทุกคนมาด้วยกันเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันเพื่อทำการจับกุมคนร้ายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้แยกออกเป็นสองพวกๆ ละ 5 คน พวกหนึ่งไปหมอบอยู่ใต้ต้นมะพร้าว จ้องปืนไปทางเรือนของว. อีกพวกหนึ่งไปหมอบที่ใต้ต้นลองกองหันปากกระบอกปืนไปทางเรือนของว.และอ.แล้วจำเลยกับพวกก็พากันยิงเข้าไปในที่เกิดเหตุพร้อมๆ กัน ปรากฏว่ามีคนถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตายและบาดเจ็บถือได้ว่าจำเลยทุกคนร่วมกันกระทำความผิดแล้ว
การที่จำเลยทุกคนต่างใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงยิงเข้าไปในกลุ่มบ้านเรือนประชาชนซึ่งมีคนอยู่บนเรือนและที่พื้นดินในบริเวณนั้นพร้อมๆ กัน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการยิงของจำเลยกับพวกได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกบุคคลที่อยู่ในบริเวณนั้นเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ได้ เมื่อปรากฏว่ามีผู้ถูกกระสุนปืนของจำเลยกับพวกถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ และฟังได้ว่าจำเลยทุกคนร่วมกันกระทำความผิดแล้ว แม้จะไม่ได้ความแน่ชัดว่ากระสุนปืนของจำเลยคนใดถูกผู้ตายทั้งสามคนนั้นคนใดบ้าง ก็ถือได้ว่าจำเลยทุกคนร่วมกันกระทำความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา และพยายามฆ่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเก้าคนมีอาวุธปืนและกระสุนปืนในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และได้ร่วมกับพวกอีก 1 คนใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายมะนอ นายอาเดะเฮง เด็กหญิงแวสะปิเยาะ นายอุเซ็ง นายวาเต๊ะนางสาวฮามีด๊ะ และนายรอฮิม โดยเจตนาฆ่า นายมะนอ นายอาเดะเฮง และเด็กหญิงแวสะปิเยาะ ถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย นอกนั้นถูกกระสุนปืนได้รับอันตรายแก่กาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้ กับได้ปืนและปลอกกระสุนปืนที่ใช้กระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ และริบของกลาง

จำเลยทั้งเก้าคนให้การว่า มีหน้าที่เป็นเวรยามเฝ้าหมู่บ้าน ตามวันเวลาเกิดเหตุทุกคนได้รับคำสั่งจากกำนันให้ไปจับกุมคนร้ายที่เข้ามาในหมู่บ้าน โดยมอบปืนให้จำเลยคนละกระบอกเพื่อใช้ป้องกันตัวซึ่งจำเลยเชื่อว่าไม่เป็นความผิด ในที่เกิดเหตุคนร้ายยิงพวกจำเลยก่อน กำนันสั่งให้ยิงโต้ตอบ พวกจำเลยจึงพากันยิงไปทางคนร้าย จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการปฏิบัติไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ส่วนจำเลยที่ 9ไม่ได้ใช้ปืนยิงผู้ใด

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ในข้อหามีอาวุธปืนนั้น ความสำคัญผิดตามข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นความสำคัญผิดในข้อกฎหมาย แม้จะเชื่อโดยสุจริตใจว่ารับมอบจากกำนัน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อไว้ใช้ป้องกันตัวในการปฏิบัติหน้าที่เวรยามที่จำเลยได้รับแต่งตั้ง ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัวที่จะไม่มีความผิดหรือได้รับยกเว้นโทษ จำเลยทุกคนมีความผิดในข้อหานี้ ส่วนข้อหาฐานฆ่าคนและพยายามฆ่านั้น ฟังว่า กำนันไม่ได้สั่งหากแต่จำเลยกระทำไปโดยพลการ ตามสภาพที่เกิดเหตุมีบุคคลอื่นอยู่ในบริเวณนั้นด้วย จำเลยย่อมจะเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงอาจถูกบุคคลอื่นได้ เมื่อมีผู้ถูกกระสุนปืนของจำเลยถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ จำเลยก็ไม่พ้นผิด พิพากษาว่าจำเลยทั้งเก้าคนมีความผิดฐานมีและใช้อาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ กระทงหนึ่ง กับมีความผิดฐานฆ่าคนและพยายามฆ่าคน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และ มาตรา 288, 80 อีกบทและกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทกระทงที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก และริบกระสุนปืนของกลาง ส่วนปืนเป็นของบุคคลอื่นที่มีทะเบียน จึงไม่ริบ

จำเลยทั้งเก้าคนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้นายกูเลาะกำนันจะสั่งให้จำเลยไปจับคนร้าย ก็ไม่ปรากฎว่าคนร้ายกระทำผิดอะไรที่ไหน กำนันไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย หรือสั่งให้จับคนที่ไม่ได้กระทำผิดฟังไม่ได้ว่ามีคนร้ายกระโดดลงจากบ้านก่อนจำเลยยิงปืน จึงไม่เป็นการป้องกันชีวิตและร่างกาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิด แต่เป็นเรื่องต่างคนต่างยิง ต่างคนต่างกระทำผิด โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่ากระสุนปืนของจำเลยคนใดถูกผู้ตาย จึงลงโทษจำเลยคนหนึ่งคนใดฐานฆ่าคนโดยเจตนาไม่ได้ จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานพยายามฆ่าผู้อื่น พิพากษาแก้ เป็นให้จำคุกจำเลยทุกคนตามมาตรา 288, 80 ซึ่งเป็นกระทงหนักยกฟ้องฐานฆ่าผู้อื่น นอกจากที่แก้ พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เรื่องมีอาวุธปืนจำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงยุติ ส่วนข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่เชื่อว่ามีคนยิงปืนมาที่พวกจำเลย ทั้งฟังได้ว่ากำนันมิได้สั่งให้จำเลยทุกคนยิงปืนเข้าไปในที่เกิดเหตุ หากแต่จำเลยทุกคนได้กระทำไปโดยพลการ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และมิได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา 70 แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายต่อไปว่า การที่จำเลยทุกคนมาด้วยกันเป็นกลุ่มเดียวกันโดยมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันเพื่อทำการจับกุมคนร้ายในหมู่บ้านเฉลิมเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้แยกกันเป็นสองพวก พวกละ 5 คน พวกหนึ่งไปหมอบอยู่ใต้ต้นมะพร้าว อีกพวกหนึ่งหมอบที่ใต้ต้นลองกอง ทุกคนหันปากกระบอกปืนไปทางเรือนนายแวหะมะ และพวกหลังหันปืนไปทางเรือนนายอาแวบือซาด้วย แล้วจำเลยกับพวกก็พากันยิงเข้าไปในที่เกิดเหตุ ปรากฎว่ามีคนถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย 3 คน และบาดเจ็บ 4 คน แม้จะไม่ได้ความแน่ชัดว่ากระสุนปืนของจำเลยคนใดถูกผู้ตายทั้งสามคนคนใดบ้างแต่การที่จำเลยทุกคนต่างใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงยิงเข้าไปในกลุ่มบ้านเรือนประชาชนซึ่งมีคนอยู่บนเรือนและที่พื้นดินในบริเวณนั้นพร้อม ๆ กัน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการยิงของจำเลยกับพวกได้ว่า กระสุนปืนอาจถูกบุคคลที่อยู่ในบริเวณนั้นเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ได้ ซึ่งผลก็ปรากฏว่ามีผู้ถูกกระสุนปืนของจำเลยกับพวกถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ จึงถือได้ว่าจำเลยทุกคนร่วมกันกระทำความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาและพยายามฆ่า

พิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ข้อที่ให้ริบกระสุนปืนของกลาง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่มิได้ยึดกระสุนปืนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยแต่ละคนมีไว้มาเป็นของกลางด้วย กระสุนปืนจึงมิใช่ของกลางที่โจทก์ขอให้ริบ จึงไม่ริบ

Share