แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะไม่ใช่ทายาทของเจ้ามรดก แต่โจทก์เป็นผู้ซื้อฝากทรัพย์พิพาทจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดก โจทก์จึงย่อมมีสิทธิที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกเช่นกันได้ แม้ผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 จะไม่ทราบเรื่องจำเลยนำทรัพย์พิพาทไปขายฝากให้โจทก์ก็ไม่ทำให้สิทธิดังกล่าวของโจทก์เสียไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 279 พร้อมบ้านให้แก่โจทก์ มีกำหนด 5 ปี ครั้นครบกำหนดจำเลยไม่ได้ไถ่ถอนที่ดินคืน ที่ดินและบ้านดังกล่าวจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมบ้าน และส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ1,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดินและบ้านตามฟ้องให้แก่โจทก์ แต่รับเงินจากโจทก์ไม่ครบ โดยโจทก์สัญญาว่าจะนำเงินที่ขาดไปให้จำเลยภายหลังแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาและยังคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จำเลยติดต่อขอไถ่ถอนที่ดินและบ้านจากโจทก์หลายครั้ง แต่โจทก์พยายามบ่ายเบี่ยงตลอดมา ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดทั้งห้ายื่นคำร้องสอดว่า แต่เดิมนายเกตุเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 279 พร้อมบ้าน นายเกตุเป็นสามีของผู้ร้องสอดที่ 1 และเป็นบิดาของผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 รวมทั้งจำเลยด้วย ต่อมานายเกตุถึงแก่กรรม ที่ดินและบ้านดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาททุกคน คือ ผู้ร้องสอดทั้งห้าและจำเลยแต่ยังมิได้มีการแบ่งเป็นสัดส่วน เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2525 โจทก์จำเลยได้สมคบกันไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเกตุแต่เพียงผู้เดียว และได้โอนที่ดินและบ้านดังกล่าวขายฝากให้แก่โจทก์โดยผู้ร้องสอดทั้งห้าไม่ทราบนิติกรรมการขายฝากที่ดินและบ้านจึงไม่มีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมายขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้นิติกรรมการขายฝากบ้านและที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ไม่ได้สมคบกับจำเลยยื่นขอรับมรดกที่ดิน โจทก์รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วยความสุจริตมีค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ร้องสอดทั้งห้าไม่ได้ดำเนินการขอแบ่งทรัพย์มรดกภายในอายุความ จึงหมดสิทธิที่จะโต้แย้งการเป็นเจ้าของในฐานะทายาท โจทก์รับซื้อฝากที่ดินมาเป็นเวลา 5 ปี กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดทั้งห้า
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องสอด ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน น.ส.3 ทะเบียนเลขที่ 279 ตำบลจันเสนอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และบ้านเลขที่ 270/1 พร้อมกับส่งมอบให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินและบ้านดังกล่าวอีก
ผู้ร้องสอดทั้งห้าอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2อนุญาตให้ผู้ร้องสอดที่ 5 เข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนสัญญาขายฝากทรัพย์พิพาทเฉพาะส่วนของผู้ร้องสอดที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และผู้ร้องสอดทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเดิมทรัพย์พิพาทคือที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 279ตำบลจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมบ้านเลขที่270/1 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวเป็นของนายเกตุ จันทร์เดชสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องสอดที่ 1 ผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5และจำเลยเป็นบุตรของนายเกตุกับผู้ร้องสอดที่ 1 นายเกตุถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2524 ต่อมาวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2525 จำเลยยื่นเรื่องราวขอรับโอนมรดกทรัพย์พิพาทเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนมรดกให้เป็นของจำเลยเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2525 ปรากฏตามเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเอกสารหมาย จ.6 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมายจ.2 ในวันที่ 12 เมษายน 2525 จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปขายฝากให้โจทก์ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้พ้นกำหนดไถ่ทรัพย์พิพาทคืนแล้ว…
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดทั้งห้ามีว่าผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 มีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากทรัพย์พิพาทในส่วนของผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 หรือไม่ สำหรับฎีกาของผู้ร้องสอดที่ 1 มิได้มีข้อความคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ในส่วนของผู้ร้องสอดที่ 1 จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ส่วนฎีกาของผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 อ้างว่า ผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 กับจำเลยตกลงกันให้ผู้ร้องสอดที่ 1 ครอบครองทรัพย์พิพาทแทนผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 และผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่ทราบเรื่องจำเลยนำทรัพย์พิพาทไปขายฝากให้โจทก์จึงเป็นโมฆะนั้น พยานผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 มีเพียงคำเบิกความของผู้ร้องสอดที่ 2 ที่ 4 และที่ 5ว่าผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 ตกลงกันให้ผู้ร้องสอดที่ 1 ครอบครองทรัพย์พิพาทแทนและผู้ร้องสอดที่ 1 เบิกความว่าบุตรทุกคนยกให้ผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้ครอบครองดูแลทรัพย์พิพาทเท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้เห็นว่าผู้ร้องสอดที่ 1 ครอบครองทรัพย์พิพาทแทนผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 ส่วนโจทก์มีนายปรีชาแย้มประเสริฐ เจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินอำเภอตาคลีเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยยื่นเรื่องราวขอรับมรดกทรัพย์พิพาทของนายเกตุ พยานได้ทำการสอบสวนตามคำขอของจำเลยตามระเบียบ เมื่อมีการสอบสวนจะต้องมีประกาศภายใน 30 วัน โดยปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการอำเภอบ้านกำนัน และที่ดินที่ตั้งอยู่สำหรับที่สำนักงานที่ดินพยานเป็นผู้ปิดประกาศเอง ส่วนที่บ้านกำนันและที่ดินตั้งอยู่พยานส่งไปให้กำนันเป็นผู้ดำเนินการ ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน และมีนายฤชา สูงทองจริยา กำนันตำบลท้องที่ที่ทรัพย์พิพาทตั้งอยู่เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้ปิดประกาศตามเอกสารหมาย จ.12เองเห็นได้ว่านอกจากจำเลยจะทำการครอบครองทรัพย์พิพาทแล้วยังได้แสดงโดยเปิดเผยต่อทางราชการและประชาชนทั่วไปให้ทราบว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานของผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อนายเกตุถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์พิพาทในส่วนของผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 โดยลำพังเกิน 5 ปี โดยผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 หาได้เข้าไปเกี่ยวข้องในการครอบครองด้วยไม่ เมื่อผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 มิได้เรียกร้องทรัพย์พิพาทอันเป็นมรดกของนายเกตุจากจำเลยภายในกำหนด 1 ปีนับแต่นายเกตุถึงแก่กรรม ที่พิพาทในส่วนของผู้ร้องสอดที่ 2ถึงที่ 5 จึงตกเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว หาใช่เป็นมรดกของนายเกตุต่อไปไม่ สำหรับเรื่องอายุความแม้โจทก์จะไม่ใช่ทายาทของนายเกตุ แต่โจทก์เป็นผู้ซื้อฝากทรัพย์พิพาทจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทของนายเกตุ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 ดังนั้นโจทก์จึงเป็นบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิของจำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้กับผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5ได้ แม้ผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 จะไม่ทราบเรื่องจำเลยนำทรัพย์พิพาทไปขายฝากให้โจทก์ก็ไม่ทำให้สิทธิดังกล่าวของโจทก์เสียไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์และผู้ร้องสอดทั้งห้าฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน