คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยปลูกเรือนพิพาทลงในที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ เรือนพิพาทย่อมมีสภาพติดอยู่กับดิน ไม่อาจเคลื่อนจากที่ได้ จึงเป็นอสังหาริมทรัพย์
ตามสำเนาสัญญาขายฝากท้ายฟ้องโจทก์ โจทก์จำเลยมีเจตนาขายฝากเรือนพิพาทอย่างเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อสัญญานั้นมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินโจทก์ปลูกเรือนอยู่อาศัย ต่อมาจำเลยได้ขายฝากเรือนดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยไม่ไถ่คืนภายในกำหนด เรือนจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์เด็ดขาดแก่โจทก์ จำเลยได้เช่าเรือนดังกล่าวจากโจทก์นับแต่วันขายฝาก จำเลยค้างชำระค่าเช่า โจทก์ได้ทวงถามค่าเช่าและบอกให้จำเลยออกไปจากเรือนโจทก์แล้ว จำเลยไม่ยอมออก ทำให้โจทก์เสียหายขาดรายได้เท่าค่าเช่า จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าเช่า ๓,๔๐๐ บาท กับค่าเสียหาย กับให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนด้วย
จำเลยให้การว่าไม่เคยขายฝากเรือนแก่โจทก์ ไม่เคยรับเงินจากโจทก์และทำสัญญาเช่าเรือนจากโจทก์ หนังสือขายฝากที่โจทก์ทำขึ้นเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖
ศาลชั้นต้นสอบโจทก์จำเลย โจทก์แถลงว่าการขายฝากรายนี้ทำเป็นหนังสือกันเท่านั้น ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาขายฝากเรือนพิพาทซึ่งมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ เรือนพิพาทยังเป็นของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิจะฟ้องบังคับจำเลยออกจากเรือนได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยปลูกเรือนพิพาทลงในที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ เรือนพิพาทย่อมมีสภาพติดอยู่กับที่ดิน ไม่อาจเคลื่อนจากที่ได้ จึงเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๐ ซึ่งตามสำเนาสัญญาขายฝากท้ายฟ้องโจทก์ โจทก์จำเลยมีเจตนาขายฝากเรือนพิพาทอย่างอสังหาริมทรัพย์ เมื่อสัญญานั้นมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ เรือนพิพาทยังเป็นของจำเลย
พิพากษายืน

Share