คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1197/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งซื้อเครื่องสีข้าว (รายใหม่) 4 เครื่อง ชำระราคาทั้งหมด 11,700 บาท ให้จำเลยเสร็จแล้ว จำเลยไม่ส่งเครื่องสีข้าวให้ ขอเรียกเงินทั้งหมดนี้คืน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้รับเครื่องสีข้าว 4 เครื่อง (รายใหม่) นี้ไปแล้ว และก่อนนั้นโจทก์ได้ซื้อเครื่องสีข้าว (รายเก่า) ไป 8 เครื่อง เมื่อคิดบัญชีกันแล้ว รวมที่โจทก์สั่งซื้อทั้งรายเก่าและรายใหม่ โจทก์ยังค้างชำระอยู่อีก 6,700 บาท ขอให้โจทก์ชำระ
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ยังเป็นลูกหนี้ค่าเครื่องรายเก่าอยู่ 6,700 บาท แต่จำเลยกลับฟ้องแย้งผิดจากความจริงไปว่า โจทก์เป็นหนี้ค่าเครื่องรายเก่า และเครื่องรายใหม่ (รายที่โจทก์ฟ้อง) ศาลก็จะต้องชี้ขาดตัดสินไปตามประเด็นในฟ้องแย้ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 กล่าวคือ จำนวนหนี้ที่ยังค้างชำระกัน 6,700 บาท นั้น ต้องถือตามฟ้องแย้งของจำเลยว่า เป็นค่าเครื่องรายใหม่รวมอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ และทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ยังไม่ได้รับเครื่องรายใหม่ 4 เครื่องนั้น จำเลยก็เรียกค่าเครื่องรายใหม่จากโจทก์ไม่ได้ เมื่อเรียกไม่ได้แล้ว และหนี้ที่ค้างอยู่ 6,700 บาท ก็มีจำนวนไม่ท่วมค่าเครื่องรายใหม่ 4 เครื่อง ตามที่จำเลยนำสืบว่าเป็นเงิน 8,900 บาท เช่นนี้ คดีไม่มีทางที่จะบังคับให้ตามฟ้องแย้งได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๓ ธ.ค. ๙๘ โจทก์สั่งซื้อขึ้นเครื่องสีข้าว ๔ เครื่อง รวมราคา ๑๑,๗๐๐ บาทจากจำเลยโจทก์ชำระราคาทั้งหมดให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ส่งเครื่องจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ส่งเครื่องสีข้าว ให้โจทก์เป็นผิดสัญญา ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๑๑,๗๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เครื่องสีข้าวรายที่ฟ้องนี้โจทก์ได้ซื้อและรับไปแล้วระหว่างเดือน พ.ย. ๙๘ โจทก์ซื้อเครื่องสีข้าว จากจำเลยหลายคราวรวมทั้งรายที่ฟ้องนี้ด้วย ต่อมาวันที่ ๖ ธ.ค. ๙๘ คิดบัญชีกับโจทก์ยังค้างชำระราคาอีก ๘ เครื่องรวม ๑๓,๕๐๐ บาท โจทก์ได้ชำระให้บางส่วน เมื่อคิดหักเงินที่โจทก์จ่ายครั้งสุดท้ายให้จำเลยแล้ว โจทก์ยังเป็นลูกหนี้ค่าเครื่องสีข้าวอีก ๖,๗๐๐ บาท ขอให้บังคับโจทก์ใช้เงินจำนวนนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้ว
ศาลแพ่งเชื่อว่า ค่าเครื่องสีข้าว ๘ เครื่องแรก เป็นเงิน ๑๓,๕๐๐ บาท โจทก์ได้ชำระด้วยเงินสด ๑,๘๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก ๑๐,๗๐๐ บาท โจทก์ออกเช็ค จ.๑ ให้จำเลย ๆ จึงออกใบรับเงิน จ.๒ ให้โจทก์ ภายหลังเช็ค จ.๑ ขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์ชำระเงินให้จำเลย ๕,๐๐๐บาท คงค้างหนี้ค่าเครื่องสีขาวรายเก่า ๖,๗๐๐ เมื่อฟังว่าเช็คจำนวนเงิน ๑๑,๗๐๐ บาท โจทก์ออกให้จำเลยเพื่อชำระหนี้รายเก่า โจทก์สิทธิเรียกร้องหนี้รายใหม่ ไม่ว่าจำเลยจะได้ส่งเครื่องสีข้าวรายใหม่ให้โจทก์แล้ว หรือพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน ๖,๗๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้ง จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลย
โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและในข้อกฎหมายว่า จำเลยฟ้องแย้งเรียกร้องโจทก์ชำระหนี้ ค่าเครื่องสีข้าวรายที่โจทก์ฟ้อง คือ ๔ เครื่องหลัง แต่ศาลแพ่งบังคับให้โจทก์ชำระหนี้ ราย ๘ เครื่องแรก เป็นการตัดสินนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒
ศาลอุทธรณ์เชื่อข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเช่นเดียวกับที่อุทธรณ์
ศาลฎีกาเชื่อข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ส่วนปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยนั้น แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ยังเป็นหนี้ค่าเครื่องรายเก่าอยู่ ๖,๗๐๐ บาท แต่จำเลยกลับฟ้องแย้งผิดจากความไปว่า โจทก์เป็นหนี้ค่าเครื่องรายเก่าและเครื่องรายใหม่ (รายที่โจทก์ฟ้อง) ศาล ก็ชี้ขาดตัดสินไปตามประเด็นในฟ้องแย้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ กล่าวคือ จำนวนยังค้างชำระกัน ๖,๗๐๐ บาทนั้น ต้องถือตามฟ้องแย้งของจำเลยว่าเป็นค่าเครื่องรายร่วมอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ และทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ยังไม่ได้รับเครื่องใหม่ ๔ เครื่องนั้น จำเลยก็เรียกค่าเครื่องรายใหม่จากโจทก์ไม่ได้ เมื่อเรียกไม่+ และหนี้ที่ค้างอยู่ ๖,๗๐๐ บาท ก็มีจำนวนไม่ท่วมค่าเครื่องรายใหม่ตามที่จำเลยว่า เป็นเงิน ๘,๙๐๐ บาท คดีจึงไม่มีทางที่จะบังคับให้ตามฟ้องแย้ง
พิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ว่า ให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วย

Share