คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่อ. โดยอ. วางมัดจำไว้ในวันทำสัญญา9,000,000บาทแต่อ. ไม่มารับโอนที่ดินในวันนัดโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิรับเงินมัดจำดังกล่าวสัญญาดังนี้แม้อ. จะฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนก็เป็นการฟ้องหลังจากที่โจทก์ได้ริบเงินมัดจำแล้วหาใช่ว่าโจทก์ยังมิได้ริบเงินมัดจำหรือเป็นกรณีที่โจทก์จะมีสิทธิริบเงินมัดจำหรือไม่ยังไม่ทราบอันจะถือว่าเป็นเงินมัดจำเป็นเพียงสิทธิเรียกร้องที่โจทก์จะได้รับมาในภายหน้าไม่เงินมัดจำดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์ได้รับเนื่องจากอ.ซึ่งเป็นคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญาจึงเป็นเงินได้จากการอื่นๆตามมาตรา40(8)แห่งประมวลรัษฎากรและเป็นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา39

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้พิพากษาว่า เงินมัดจำ 9,000,000 บาทยังไม่เป็นเงินได้ของโจทก์ทั้งสองในปีภาษี 2533 ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจำเลยที่ 5 ตามแบบ ภ.ง.ด. 12เลขที่ 1016/1135 (ที่ถูก 1016/1/1135) ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2534และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เลขที่ 1/2536ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2535
จำเลยทั้งห้าให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.12เลขที่ 1016/1/1135 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2534 จำนวนเงิน12,091,741.21 บาท และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 1/2536 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2535 จำนวนเงิน 8,304,576,51 บาท
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะขายที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 326, 1373 และ 1374 กับที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 319, 146 และ 400 ตำบลหนองอิรุณ อำเภอบ้านบึงจังหวัดชลบุรี รวม 6 แปลง ให้แก่นางอารมณ์ กาญจนาภา ในราคา31,416,375 บาท นางอารมณ์ได้ให้เงินมัดจำแก่โจทก์ทั้งสองในวันทำสัญญาจำนวน 9,000,000 บาท และนัดไปโอนที่ดินกันในวันที่ 19 มิถุนายน 2533 แต่เมื่อถึงวันนัดมิได้มีการโอนที่ดินกันวันที่ 20 มิถุนายน 2533 นางอารมณ์ได้ขออายัดที่ดินทั้ง 6 แปลงวันที่ 22 ตุลาคม 2533 นางอารมณ์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาลแพ่งอ้างว่าโจทก์ทั้งสองผิดสัญญา ขอให้โจทก์ทั้งสองคืนเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 19,000,000 บาทโจทก์ทั้งสองให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากนางอารมณ์ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกโจทก์ทั้งสองเพื่อตรวจสอบภาษี เมื่อตรวจสอบแล้วเห็นว่าโจทก์ทั้งสองมิได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีการค้าจากเงินมัดจำที่โจทก์ทั้งสองได้รับในปี 2533 เป็นเงินได้ 9,000,000 บาทจึงได้ประเมินให้โจทก์ทั้งสองเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท มิใช่เงินได้จากการขายที่ดินตามการประเมินแต่เป็นเงินได้อื่น ๆ ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรกรณีมีเหตุอันควรผ่อนผัน จึงลดเบี้ยปรับที่ได้เรียกเก็บไว้แล้วคงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายเงินเพิ่มตามการประเมินเป็นเงินเพิ่มตามมาตรา 27แห่งประมวลรัษฎากรไม่อาจลดหรืองดได้ ส่วนภาษีการค้าเห็นว่าเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท ยังไม่เข้าลักษณะเป็นรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเสียภาษีการค้า จึงพิจารณาปลดภาษีการค้า คงให้โจทก์ทั้งสองชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 8,304,576.51 บาท พร้อมทั้งเงินเพิ่มตามกฎหมาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ สำหรับการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 11 เฉพาะที่เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท ที่โจทก์ทั้งสองได้รับมาในปี 2533เป็นเงินได้จากการขายที่ดิน และการประเมินภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีการค้าเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 5 นั้น คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยว่า เงินมัดจำมิใช่เงินได้จากการขายที่ดินตามการประเมิน แต่เป็นเงินได้อื่น ๆ ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรและเงินมัดจำดังกล่าวยังไม่เข้าลักษณะเป็นรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเสียภาษีการค้าแล้ว ดังนั้น จึงคงมีปัญหาตามอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งสองได้ริบเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาทแล้วหรือไม่ หากโจทก์ทั้งสองได้ริบเงินมัดจำแล้ว เงินมัดจำดังกล่าวเป็นเงินได้อื่น ๆ ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองอ้างว่าโจทก์ทั้งสองยังไม่ได้ริบเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท และจะมีสิทธิริบเงินมัดจำหรือไม่ยังไม่ทราบ จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ทั้งสองได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายแก่นางอารมณ์และริบเงินมัดจำแล้วเห็นว่า ปรากฏว่าเมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกโจทก์ทั้งสองเพื่อตรวจสอบภาษี โจทก์ทั้งสองมอบอำนาจให้นายมรกต สังขทัต ณ อยุธยา ไปให้ ถ้อยคำและตอบข้อซักถามของเจ้าพนักงานประเมิน และนายมรกตให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า เมื่อนางอารมณ์ไม่มารับโอนที่ดินในวันนัด ทนายความของโจทก์ทั้งสองได้ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและขอริบเงินมัดจำไปยังนางอารมณ์ ซึ่งตรงตามหนังสือบอกเลิกสัญญาของทนายความโจทก์ทั้งสองที่ส่งถึงนางอารมณ์ ฉบับลงวันที่5 กรกฎาคม 2533 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองได้ใช้สิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำริบเงินมัดจำจำนวน9,000,000 บาท แล้ว ที่นางอารมณ์ฟ้องเรียกเงินมัดจำและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองต่อศาลแพ่ง เป็นการฟ้องหลังจากที่โจทก์ทั้งสองได้ริบเงินมัดจำแล้ว ทั้งในคดีดังกล่าวโจทก์ทั้งสองได้ให้การต่อสู้ว่านางอารมณ์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ทั้งสองมีสิทธิริบเงินมัดจำได้ จึงไม่ต้องคืนเงินมัดจำ ซึ่งแสดงว่าโจทก์ทั้งสองถือว่าเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท ที่โจทก์ทั้งสองริบตกเป็นของโจทก์ทั้งสองแล้ว หาใช่ว่าโจทก์ทั้งสองยังมิได้ริบเงินมัดจำหรือเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองจะมีสิทธิริบเงินมัดจำหรือไม่ยังไม่ทราบ อันจะถือว่าเงินมัดจำเป็นเพียงสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ทั้งสองจะได้รับมาในภายหน้าไม่ เงินมัดจำที่โจทก์ทั้งสองได้ริบจำนวน 9,000,000 บาท เป็นเงินที่โจทก์ทั้งสองได้รับเนื่องจากนางอารมณ์ซึ่งเป็นคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญา จึงเป็นเงินได้จากการอื่น ๆ ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรและเป็นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์ทั้งสองมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินเฉพาะส่วนที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิได้แก้ไข และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว อนึ่ง ที่โจทก์ทั้งสองแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ทั้งสองมิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี หากโจทก์ทั้งสองต้องแพ้คดีก็ขอให้งดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดนั้น เห็นว่า เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share