คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1191/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสี่ได้ทำร้ายผู้ตาย โจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3 และส.โดยมีเจตนาที่จะทำร้ายบุคคลดังกล่าวทุกคนไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นใครลักษณะของเจตนากระทำความผิดจึงเป็นอันเดียวเกิดขึ้นในวาระเดียวกันและต่อเนื่องกันตลอด แม้กระทำหลายครั้งต่อหลายบุคคลก็อยู่ภายในเจตนาเดียวกันนั้น มิใช่หลายเจตนา การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยทั้งสี่ฝ่ายหนึ่ง ผู้ตายและโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3 กับ ส.อีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหาย ว.ภริยาผู้ตาย จึงมิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายด้วยดังนั้น ว.และโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3 จึงไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,91, 83, 80 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
ระหว่างพิจารณา นางวราภรณ์ เย็นจิตโสมนัส ภริยาของนายไพฑูรย์หรือไพทูล เย็นจิตรโสมนัส ผู้ตาย นายประสิทธิ์ทิศาปาโมกข์ นายอำพล ฐาปนสมบูรณ์ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เรียกนางวราภรณ์นายประเสริฐและนายอำพลว่า โจทก์ร่วมที่ 1 โจทก์ร่วมที่ 2 และโจทก์ร่วมที่ 3ตามลำดับ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก, 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 15 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปีคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 คำให้การชั้นสอบสวนและข้อนำสืบของจำเลยทั้งสี่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 2จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก 6 ปี 8 เดือน
โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสามและจำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ให้จำคุก 1 เดือน ปรับ 900 บาทจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุก2 ปี คำรับและข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองมีประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 ยี่สิบวันปรับ 600 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 1 ปี 4 เดือน ส่วนคำขออื่นที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3นอกจากนี้ให้ยก หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้ตาย โจทก์ร่วมที่ 2ที่ 3 กับพวกฝ่ายหนึ่งและจำเลยทั้งสี่อีกฝ่ายหนึ่งได้ต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 2 ใช้มีดแทงฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 4ใช้มีดแทงพยายามฆ่าโจทก์ร่วมที่ 2 และโจทก์ร่วมที่ 3 กับนายสุรชัย ปอตระกูล ได้ถูกทำร้ายด้วยเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายพยายามฆ่าโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3และนายสุรชัย ปอตระกูล อันเป็นความผิดหลายกรรมหรือไม่ เชื่อว่าเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากต่างฝ่ายต่างสมัครใจเข้าทำร้ายซึ่งกันและกันในทันทีทันใด โดยมิได้นัดหมายว่าผู้ใดจะกระทำการใด ทั้งไม่ปรากฏในทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยทั้งสี่ได้ตระเตรียมอาวุธมาแต่แรกเพื่อจะก่อเหตุ ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ใช้มีดแทงฆ่าผู้ตาย และจำเลยที่ 4 ใช้มีดแทงพยายามฆ่าโจทก์ร่วมที่ 2 จำเลยที่ 2และที่ 4 ย่อมต้องรับผลที่ตนได้กระทำไปจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย และจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมที่ 2ส่วนที่ได้ความจากนายสุรชัยและโจทก์ร่วมที่ 2 ว่า จำเลยที่ 3ใช้มีดแทงถูกที่แขนซ้ายของโจทก์ร่วมที่ 2 ด้วยนั้น โจทก์ร่วมที่ 2ก็เพียงได้รับบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยที่ 3 หาเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 ก็ได้ความจากนายศักดิ์ว่าจำเลยที่ 1 ชกนายศักดิ์เท่านั้น แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 4 ทำร้ายผู้ตายและโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3 กับนายสุรชัยมาแต่ต้น ดังนั้น จำเลยที่ 1ที่ 3 ย่อมมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ฟังขึ้นอย่างไรก็ตามแม้ว่าจำเลยแต่ละคนจะได้ทำร้ายผู้ตาย โจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3 และนายสุรชัยด้วยมิได้ทำร้ายเฉพาะต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดดังที่โจทก์ฎีกาก็ตามแต่เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสี่เกิดขึ้นทันทีทันใดโดยมิได้คบคิดกันมาก่อนดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว จึงเห็นได้ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ที่ได้ทำร้ายผู้ตายโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3 และนายสุรชัยนั้นก็โดยมีเจตนาที่จะทำร้ายบุคคลดังกล่าวทุกคนไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นใครลักษณะของเจตนากระทำความผิดจึงเป็นอันเดียวเกิดขึ้นในวาระเดียวกันและต่อเนื่องกันตลอดแม้กระทำหลายครั้งต่อหลายบุคคลก็อยู่ภายในเจตนาเดียวกันนั้น มิใช่หลายเจตนา การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่โจทก์ฎีกาไม่ คำพิพากษาฎีกาที่ 1520/2506 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ นายมา แสงแดงชาติจำเลย ที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
อนึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยทั้งสี่ฝ่ายหนึ่ง ผู้ตายและโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3 กับนายสุรชัยอีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกันดังวินิจฉัยข้างต้นแล้วเช่นนี้ ดังนั้น ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหาย นางวราภรณ์ เย็นจิตโสมนัสภริยาผู้ตาย และโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 3 จึงมิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์”
พิพากษาแก้เป็นให้บังคับคดีจำเลยทั้งสี่ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมทั้งสาม”

Share