คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีไป ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยวิ่งไล่ตามไปทำร้ายผู้เสียหายอีก ซึ่งจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าใช้มีดฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่ชกต่อยกับผู้เสียหาย โดยไม่ได้เลือกว่าจะฟันผู้เสียหายบริเวณใด หากจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายมาก่อน จำเลยสามารถวิ่งไล่ตามไปใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหายได้อีกโดยไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดมาขัดขวางไม่ให้จำเลยทำเช่นนั้น ประกอบกับพวกของจำเลยก็มีหลายคนสามารถวิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปได้นอกจากนี้ขณะที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายเพียงแต่ยกแขนขึ้นบังเท่านั้นไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณข้อศอกข้างขวายาวประมาณ 10 เซนติเมตร ซึ่งไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์ แสดงว่าจำเลยไม่ได้ใช้มีดฟันอย่างรุนแรง อีกทั้งจำเลยและผู้เสียหายไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนถึงขนาดจะต้องเอาชีวิต พฤติการณ์การกระทำของจำเลยมีเจตนาเพียงแต่จะทำร้ายเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 90 บาท ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 90 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน และปรับ 60 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับว่าใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายจริงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธแล้ว คงจำคุก 1 ปี และปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 แต่ประการเดียว ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายและนายสายยัณห์ ออกจากงานบุญที่บ้านพัฒนานิคมเพื่อกลับบ้าน ขณะที่ผู้เสียหายเดินตามนายสายยัณห์ไปที่รถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ริมถนน จำเลยใช้มีดเป็นอาวุธฟันผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บที่ข้อศอกข้างขวาเป็นแผลยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรถึงที่สุดแล้ว คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ในเรื่องนี้ผู้เสียหายเบิกความว่าขณะที่พยานเดินตามนายสายยัณห์ไปที่รถจักรยานยนต์ เห็นจำเลยกับพวกประมาณ 7 คน โดยจำเลยกับพวก 1 คน วิ่งมาหาพยาน ส่วนพวกของจำเลยที่เหลือยื่นอยู่ โดยจำเลยถือมีดดาบหัวตัดยาวประมาณ 1 ช่วงแขนมาด้วย พวกของจำเลยวิ่งเข้ามาชกต่อยพยานบริเวณใบหน้า 1 ครั้ง แล้วจำเลยใช้มือทั้งสองข้างเงื้อมีดดาบหัวตัดขึ้นเหนือศีรษะแล้วฟันที่ศีรษะของพยาน พยานยกแขนข้างขวาขึ้นบังศีรษะไว้ คมมีดจึงถูกที่ข้อศอกข้างขวา แล้วพยานวิ่งหลบหนีไปโดยไม่ได้สังเกตว่าจำเลยวิ่งไล่ตามมาหรือไม่ เพียงแต่ได้ยินเสียงคนวิ่งตามมา และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าจำเลยใช้มีดฟังเพียงครั้งเดียว นายสายยัณห์ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่าจำเลยใช้มือทั้งสองข้างเงื้อมีดแล้วฟันที่ศีรษะของผู้เสียหาย จากนั้นผู้เสียหายวิ่งหนี พยานจึงวิ่งตามผู้เสียหายไป นายสายยัณห์ยังเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าขณะที่พยานกับผู้เสียหายเดินไปที่รถจักรยานยนต์จำเลยกับพวกประมาณ 10 คน นั่งอยู่บริเวณริมถนน จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหาย 1 ครั้งไม่ทราบว่าจำเลยวิ่งตามผู้เสียหายไปหรือไม่ เห็นว่า จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีไป ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยวิ่งไล่ตามไปทำร้ายผู้เสียหายอีก ซึ่งจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าใช้มีดฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่ชกต่อยกับผู้เสียหายโดยไม่ได้เลือกว่าจะฟันผู้เสียหายบริเวณใด สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายหากจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายมาก่อน จำเลยสามารถวิ่งไล่ตามไปใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหายได้อีกโดยไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดมาขัดขวางไม่ให้จำเลยทำเช่นนั้น ประกอบกับพวกของจำเลยก็มีหลายคนสามารถวิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปได้ นอกจากนี้ขณะที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายเพียงแต่ยกแขนขึ้นบังเท่านั้น ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใดซึ่งตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ปรากฏว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณข้อศอกข้างขวายาวประมาณ 10 เซนติเมตร ซึ่งไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์ แสดงว่าจำเลยไม่ได้ใช้มีดฟันอย่างรุนแรง อีกทั้งจำเลยและผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนถึงขนาดจะต้องเอาชีวิต พฤติการณ์การกระทำของจำเลยมีเจตนาเพียงแต่จะทำร้ายเท่านั้นมิได้มีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share