แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่ากระสุนปืนลั่นระหว่างที่ผู้เสียหายกับจำเลยแย่งอาวุธปืนกันและเหตุที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายก็เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งสอดคล้องกับ คำเบิกความของจำเลยที่ว่าอาวุธปืนเป็นของผู้เสียหายและระหว่าง ที่จำเลยเข้าแย่งปืนจากผู้เสียหายลั่นขึ้น 1 นัดปรากฏว่า อาวุธปืนของกลางไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงาน ประทับไว้ หากอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของผู้เสียหายก็มีเหตุที่จะต้องกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีดังที่เบิกความคำเบิกความของ จำเลยจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กระสุนปืน ลั่นระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายแย่งอาวุธปืนกัน ไม่ใช่กระสุนปืนลั่น เนื่องจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายไม่ได้ การที่จำเลยเอาอาวุธปืนของผู้เสียหายที่นำมาให้ จำเลยดูมาพกไว้ที่เอวเป็นเพียงการพกเล่น ไม่ได้มีเจตนา ครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว จึงไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ความผิดทั้งสองข้อหาจะต้องห้ามฎีกา เมื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษา ยกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185,215 และ 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 80, 91, 288, 297 ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือนรวมจำคุก 11 ปี 6 เดือน ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกฐานพยายามฆ่า 6 ปี 8 เดือนฐานมีอาวุธปืน 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืน 4 เดือน รวม 6 ปี 20 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่าขณะผู้เสียหายกับจำเลยนั่งดื่มสุราอยู่ด้วยกัน จำเลยพูดว่านางใจภริยาผู้เสียหายว่านางใจไปฟ้องนางกิ้มภริยาจำเลยว่าจำเลยชอบไปดื่มเหล้ากับผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ได้โต้ตอบ จำเลยชักอาวุธปืนออกจากเอวมายิงผู้เสียหาย 1 นัด ผู้เสียหายเข้ากอดปล้ำแย่งปืน สักครู่นางใจมาช่วยแยกทั้งสองออกจากกัน และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า วันเกิดเหตุนายมาโนชและนายสมเจตนั่งดื่มสุราอยู่กับผู้เสียหายที่ใต้ถุนบ้าน หลังจากนั้นจำเลยจึงไปร่วมนั่งดื่มสุราอีกคนหนึ่ง เมื่อจำเลยไปถึงนายมาโนชกับนายสมเจตลุกออกจากใต้ถุนบ้านผู้เสียหายไป จึงเหลือผู้เสียหายกับจำเลยนั่งดื่มสุรากันอยู่เพียง 2 คนนางใจออกจากบ้านไปที่บ้านน้องสาวระหว่างที่คุยกันนั้นจำเลยพาอาวุธปืนไปด้วยและหยิบอาวุธปืนออกมาอวดผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงขอปืนจำเลยดูระหว่างที่ผู้เสียหายดูปืนอยู่จำเลยพูดขึ้นว่า นางใจไปฟ้องนางกิ้มถึงเรื่องที่จำเลยเอาเงินไปซื้อสุราเลี้ยงผู้เสียหายเป็นเหตุให้จำเลยถูกนางกิ้มด่าว่า ผู้เสียหายจึงบอกจำเลยว่า นายใจคงไม่พูดเช่นนั้นจำเลยว่าหากนางใจไม่พูดแล้วนางกิ้มจะรู้ได้อย่างไร ผู้เสียหายพูดว่า นางกิ้มเป็นคนตอแหล ดอกทองจำเลยจึงชกผู้เสียหาย หลังจากนั้นมีการกอดปล้ำกันและแย่งอาวุธปืนกันด้วย อาวุธปืนลั่นขึ้น 1 นัด ผู้เสียหายจึงร้องเรียกนางใจให้ช่วย เหตุที่ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายก็เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีด้วยและเบิกความตอบโจทก์ถามติงว่า ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าผู้เสียหายกับจำเลยกอดปล้ำกันก่อนแล้วปืนจึงลั่น ไม่ได้ให้การว่าจำเลยชักอาวุธปืนออกจากเอวยิงผู้เสียหายก่อนแล้วจึงเข้ากอดปล้ำกันที่พนักงานสอบสวนบันทึกคำให้การของผู้เสียหายไว้เช่นนั้นจึงไม่ถูกต้อง นางใจ สนเผือก ภริยาผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น พยานอยู่ที่บ้านน้องสาวซึ่งอยู่ห่างไปจากบ้านพยานประมาณ 40 เมตร จึงไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิงปืนและใครใช้อาวุธปืนยิงผู้ใด พยานเป็นคนเข้าไปแยกผู้เสียหายกับจำเลยให้เลิกกอดปล้ำกัน ทั้งจำเลยและผู้เสียหายต่างก็เมาสุรา อาวุธปืนตกอยู่ที่พื้นดิน นายมาโนช สนเผือกพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า วันเกิดเหตุไปเที่ยวบ้านผู้เสียหาย เมื่อไปถึงพบนายสมเจต ผู้เสียหายและจำเลยนั่งดื่มสุรากันและเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าจำเลยเพียงแต่เลิกชายเสื้อให้ดูอาวุธปืนที่พกไว้จำเลยเบิกความเป็นพยานว่า วันเกิดเหตุจำเลยไปดื่มสุรากับผู้เสียหาย ผู้เสียหายขึ้นไปบนบ้านแล้วลงมาพร้อมกับนำอาวุธปืนสั้นมา 1 กระบอกและบอกแก่จำเลยว่าเพิ่งซื้อปืนมาใหม่ จึงนำมาให้ดู จำเลยกับผู้เสียหายยังคงดื่มสุราต่อและจำเลยหยิบปืนมาดู ต่อมานายสมเจตกับนายมาโนชมาร่วมดื่มสุราด้วย จำเลยเห็นปืนวางอยู่ จึงหยิบอาวุธปืนมาพกไว้ที่เอว ทำนองเล่นแล้วก็พกไว้ที่เอว ทำนองเล่นแล้วก็พกไว้ หลังจากนายสมเจตและนายมาโนชกลับไปแล้ว นางใจมาบอกจำเลยและผู้เสียหายว่าให้เลิกกินเหล้ากันเถอะ นางกิ้มจะมาด่าพยานอีก จำเลยพูดว่า “กูจ่ายค่าเหล้าเอง”หลังจากนายใจออกจากบ้านไป ผู้เสียหายขออาวุธปืนคืนจำเลยคืนให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหายวางอาวุธปืนดังกล่าวไว้ใกล้ตัวผู้เสียหาย จำเลยพูดต่อว่าผู้เสียหายที่ให้นางใจมาด่าว่าจำเลยผู้เสียหายบอกว่า “เดี๋ยว กูจัดการเอง” แล้วผู้เสียหายหยิบอาวุธปืนจำเลยพูดต่อว่า “เฮ้ย วางไว้อย่าไปหยิบ” เมื่อผู้เสียหายหยิบอาวุธปืนขึ้นมาจำเลยจึงเข้าไปแย่งปืน ระหว่างนั้นปืนลั่นขึ้น1 นัด ได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องและเห็นเลือดไหลที่ไหล่ซ้ายของผู้เสียหาย จำเลยตกใจจึงลุกขึ้นวิ่งหนีไป และจำเลยเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การไว้ปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.17 เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า กระสุนปืนลั่นระหว่างที่ผู้เสียหายกับจำเลยแย่งอาวุธปืนกัน ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยผู้เสียหายเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยด้วยว่า เหตุที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายก็เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งก็สอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าอาวุธปืนเป็นของผู้เสียหาย และปรากฏว่าอาวุธปืนของกลางไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ หากอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของผู้เสียหาย ผู้เสียหายก็มีเหตุที่จะต้องกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีดังที่เบิกความคำเบิกความของจำเลยจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ากระสุนปืนลั่นระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายแย่งอาวุธปืนกัน ไม่ใช่กระสุนปืนลั่นเนื่องจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจึงลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายไม่ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำผิดในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น โจทก์คงมีผู้เสียหายเบิกความว่า อาวุธปืนของกลางเป็นของจำเลย แต่จำเลยเบิกความว่าเป็นของผู้เสียหายการที่ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเหตุที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายก็เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดี จึงทำให้เชื่อได้ว่าอาวุธปืนของกลางน่าจะเป็นของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงเกรงว่าจะถูกเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดี จำเลยเบิกความด้วยว่าหยิบอาวุธปืนของผู้เสียหายมาพกไว้ที่เอวก่อนนายมาโนชพยานโจทก์มาถึง ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนายมาโนชที่ว่าเมื่อมาถึงพบจำเลยนั่งดื่มสุราอยู่กับผู้เสียหายแล้ว ข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าอาวุธปืนของกลางเป็นของจำเลยและการที่จำเลยเอาอาวุธปืนของผู้เสียหายที่นำมาให้จำเลยดูมาพกไว้ที่เอวนั้นก็เป็นเพียงการพกเล่น ไม่ได้มีเจตนาครอบครองอาวุธปืนดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้ความผิดทั้งสองข้อหานี้ต้องห้ามฎีกาและเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด ศาลก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185, 215 และ 225 ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง