แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ร้องได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนของผู้ร้อง ห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง การที่ผู้ร้องจะอ้างการได้มาของผู้ร้องขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ได้นั้น เมื่อบทบัญญัติดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 55 ผู้ร้องจึงต้องบรรยายมาในคำร้องขอว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ตามกฎหมายแพ่ง ผู้ร้องจึงจะมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้ามาสืบไปตามข้ออ้างได้ การที่ผู้ร้องมิได้กล่าวในคำร้องขอว่าโจทก์รับจำนองโดยไม่สุจริต จึงไม่มีประเด็นที่ผู้ร้องจะนำพยานเข้ามาสืบเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน7,848,623.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 6,363,780.35 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจำเลยทั้งสองจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความอีก 5,000 บาท จำเลยทั้งสองจะชำระให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 30 กันยายน 2539 หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 8934 และเลขที่ 4248 ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดได้ทันที หากบังคับจำนองไม่พอชำระหนี้ จำเลยทั้งสองยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำนองทั้งสองแปลงเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 8934 มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2528 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ขอให้ไต่สวนคำร้องขอ และปล่อยที่ดินพิพาทที่ยึด
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอแล้ว เห็นว่าคดีไม่จำต้องไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอ ค่าคำร้องขอให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องมีเพียงว่า การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอของผู้ร้องโดยไม่ทำการไต่สวน และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนมานั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องบรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาตามกฎหมายแล้วว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดซึ่งเป็นการนำยึดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องแล้ว การนำสืบถึงความสุจริตหรือไม่สุจริตของโจทก์ผู้รับจำนอง อยู่ในขั้นตอนที่โจทก์และผู้ร้องจะนำสืบพยานประกอบข้อต่อสู้ของตนเองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ร้องจะได้บรรยายมาในคำร้องขอถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของผู้ร้อง แต่เมื่อสิทธิของผู้ร้องเป็นการได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แต่สิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนของผู้ร้อง ห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299วรรคสอง การที่ผู้ร้องจะอ้างการได้มาของผู้ร้องขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ได้นั้น เมื่อบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 55 เช่นนี้ ผู้ร้องจึงต้องบรรยายมาในคำร้องขอโดยชัดแจ้งให้เห็นว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ตามกฎหมายแพ่ง อันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ผู้ร้องจึงจะมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้ามาสืบไปตามข้ออ้างได้ การที่ผู้ร้องมิได้กล่าวบรรยายในคำร้องขอว่าโจทก์รับจำนองโดยไม่สุจริตจึงไม่มีประเด็นที่ผู้ร้องจะนำพยานเข้ามาสืบเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในประเด็นดังกล่าวได้ กรณีมิใช่เรื่องที่คู่ความสามารถนำพยานเข้ามาสืบประกอบได้เองโดยไม่จำต้องกล่าวบรรยายมาในคำร้องขอเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความดังที่ผู้ร้องฎีกาซึ่งจะเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอของผู้ร้องโดยไม่ทำการไต่สวนและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกา ขอให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอไว้ไต่สวนต่อไป จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก) แต่ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา แต่ละชั้นศาลจำนวน 22,500 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท ให้แก่ผู้ร้อง”
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท ให้แก่ผู้ร้อง