แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ปรากฏตามคำพิพากษาในคดีอาญาชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า พยานโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเอาหนังสือมอบอำนาจไปกรอกข้อความโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ รูปคดีน่าเชื่อและทำให้เห็นไปได้ว่าโจทก์มีเจตนายกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลย ดังนี้ คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวยังหาได้เชื่อฟังเป็นยุติว่า จำเลยกรอกข้อความในแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจโดยความยินยอมของโจทก์หรือโดยโจทก์มีเจตนายกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลยแล้วแต่อย่างใดไม่ การที่ศาลในคดีแพ่งถือตามข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นการมิชอบ ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นใหม่
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่โอนเป็นของจำเลยกลับเป็นของโจทก์ตามเดิม ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับคำขอที่ให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาท โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าในการพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลอุทธรณ์หาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลแขวงธนบุรีที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่นั้นพิเคราะห์แล้ว ปรากฏตามคำพิพากษาของศาลแขวงธนบุรีว่า พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องยังไม่พอฟังว่าจำเลยเอาหนังสือมอบอำนาจไปกรอกข้อความโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ รูปคดีน่าเชื่อและทำให้เห็นไปได้ว่าโจทก์มีเจตนายกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลย ดังนี้ เห็นว่าตามคำพิพากษาของศาลแขวงธนบุรีชั้นไต่สวนมูลฟ้องตามที่กล่าวนั้นยังหาได้เชื่อฟังเป็นยุติว่า จำเลยกรอกข้อความในแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจตามฟ้องโดยความยินยอมหรือตามคำสั่งของโจทก์หรือโดยโจทก์มีเจตนายกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลยแล้วแต่อย่างใดไม่ที่ศาลอุทธรณ์ถือตามข้อเท็จจริงดังกล่าวและพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น