คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปทำร้าย อ. ผู้เสียหายที่ 2ถึงในบ้านซึ่งเป็นที่พักอาศัยของ น. ผู้เสียหายที่ 1และผู้เสียหายที่ 2 ในเวลากลางคืน นับว่าเป็นการกระทำผิดอย่างอุกอาจ ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ทั้งจำเลยยังเลือกทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่ใบหน้าอันเป็นอวัยวะสำคัญการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงไม่สมควรรอการลงโทษ การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสองแล้ว ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสองเพราะมีเจตนา จะกระทำการอย่างอื่น จึงต้องถือว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของ ผู้เสียหายโดยมีเจตนาอันแท้จริงเพื่อทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้ปัญหา ดังกล่าวจะไม่มีคู่ความใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง,215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297, 298, 364, 365, 33 ริบท่อนไม้แปรของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297, 298, 365(2)(3) ประกอบมาตรา 364(ที่ถูกน่าจะเป็นมาตรา 298 ประกอบมาตรา 289(4), 365(1)(2)(3)ประกอบมาตรา 364) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานบุกรุก จำคุก 6 เดือนและปรับ 10,000 บาท ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จำคุก 4 ปีรวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก2 ปี 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท ผู้เสียหายทั้งสองแถลงว่าได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลย ไม่ติดใจเอาความกับจำเลยพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นควรให้โอกาสแก่จำเลยสักครั้งโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบท่อนไม้แปรของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานทำร้ายร่างกายให้จำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 ปี รวมกับโทษความผิดฐานบุกรุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุก 1 ปี 3 เดือน ไม่ลงโทษปรับไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปทำร้ายนายอานนท์ เทศเขียวผู้เสียหายที่ 2 ถึงในบ้านซึ่งเป็นที่พักอาศัยของนางเนื่อง เทศเขียว ผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 ในเวลากลางคืน นับว่าเป็นการกระทำผิดอย่างอุกอาจ ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ทั้งจำเลยยังเลือกทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่ใบหน้าอันเป็นอวัยวะสำคัญการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษส่วนที่จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่ฝ่ายผู้เสียหายก็เพียงระงับคดีส่วนแพ่งที่จำเลยจะไม่ถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งเท่านั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษแก่จำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสองแล้วทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสองด้วยเจตนาจะกระทำการอย่างอื่น จึงต้องถือว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยมีเจตนาอันแท้จริงเพื่อทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าเป็นการกระทำความผิดสองกรรมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยปัญหาดังกล่าวแม้จะไม่มีคู่ความใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง, 215 และ 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 298 ประกอบมาตรา 289(4) อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เพียงบทเดียวเมื่อลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้วคงจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share