แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีละเมิดได้บรรยายชัดแจ้งพอสมควรว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร ค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเงินเท่าใดจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะหลักฐานและรายละเอียดเกี่ยวกับค่าเสียหายเป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณา ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ5เดิมสามีเป็นผู้จัดการสินบริคณห์และมีสิทธิฟ้องคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาหรือการใดๆเพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ โจทก์สมรสกับภริยาก่อนใช้บทบัญญัติบรรพ5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดเพื่อความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินอันเป็นการฟ้องคดีเพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ได้เพราะบทบัญญัติบรรพ5ที่ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจจัดการสินบริคณห์ที่คู่สมรสได้มีอยู่แล้ว โจทก์จำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมือและเท้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้สามารถใช้การได้เป็นปกติแต่โจทก์กะประมาณค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดโดยปราศจากพยานสนับสนุนเป็นการพ้นวิสัยที่ศาลจะหยั่งรู้ได้แน่นอนความเสียหายมีเพียงใดศาลจึงมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้และสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาใดเวลาหนึ่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคสอง จำเลย ที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจะปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่เป็นเรื่องที่จำเลย ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจะว่ากล่าวเอาแก่จำเลย ที่ 2 ผู้เป็นคู่สัญญาแต่จะยกเหตุดังกล่าวมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลย ที่ 2 กับจำเลย ที่ 3 หาได้ไม่ เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยให้ลดค่าเสียหายซึ่งจำเลย ที่ 2 จะต้องชดใช้ให้โจทก์น้อยลงและการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้จึงมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลย ที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างชนรถจักรยานยนต์ซึ่งโจทก์ขับขี่ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสทรัพย์สินเสียหาย ทั้งนี้โดยความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 3เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 900,219.44 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ขับรถไปในธุรกิจส่วนตัว ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของโจทก์ฝ่ายเดียว ค่าเสียหายไม่มีจำนวนสูงถึงตามฟ้อง หากจำเลยที่ 3 รับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดในกรมธรรม์ประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์848,664.46 บาท โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งพอสมควรแล้วว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไรและค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเงินเท่าใดส่วนหลักฐานและรายละเอียดเกี่ยวกับค่าเสียหายเป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายจึงหาเคลือบคลุมไม่
ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยาโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์สมรสกับภริยาเมื่อวันที่10 มีนาคม 2519 ก่อนวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ ซึ่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 7 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจจัดการสินบริคณห์ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มีอยู่แล้วศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม มาตรา 1468 และ 1469 สามีเป็นผู้จัดการสินบริคณห์และมีสิทธิฟ้องคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาหรือการใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่โจทก์ถูกกระทำละเมิด แม้โจทก์จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดแก่รถจักรยานยนต์ อันเป็นการฟ้องคดีเพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ด้วย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า ค่าผ่าตัดภายหน้าเพื่อตกแต่งบาดแผลของโจทก์ซึ่งศาลล่างกำหนดให้ 50,000 บาท เป็นเพียงการคาดคะเนโดยปราศจากหลักฐานการใช้จ่าย บาดแผลอาจหายได้เองตามธรรมชาติ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยนั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมือและเท้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้สามารถใช้การได้เป็นปกติ แต่ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดนั้น โจทก์เพียงกะประมาณเอาโดยปราศจากพยานสนับสนุน โจทก์จะเสียค่าใช้จ่ายเท่าใดย่อมแล้วแต่ว่าโจทก์จะเข้ารับการผ่าตัดในประเทศไทยหรือที่ประเทศออสเตรเลีย ถ้าหากผ่าตัดที่ประเทศออสเตรเลียโจทก์อาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย จึงเป็นการพ้นวิสัยที่ศาลจะหยั่งรู้ได้แน่ว่าความเสียหายนั้นมีแท้จริงเพียงใด ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้โจทก์เรียกได้ตามที่ใช้จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ตามคำขอของโจทก์ โดยสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 444 วรรคสอง
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 1.7 และ 1.9 กล่าวคือ มิได้นำใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยที่ 1 มาแสดงต่อจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นเห็นว่า โจทก์เป็นบุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถ้าหากจำเลยที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้รับความเสียหายประการใดก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นคู่สัญญา จะอ้างมาเป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่
แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวและเป็นการกระทำในทางการที่จ้างจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิด้วยรวมทั้งจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน737,504.31 บาท และเนื่องจากค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์มีจำนวนลดน้อยลงและการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็เห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 ประกอบด้วยมาตรา 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์737,504.31 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าผ่าตัดภายหน้าเพื่อตกแต่งบาดแผลแก่โจทก์ตามที่โจทก์ใช้จ่ายไปจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท โดยศาลสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันพิพากษา ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 45,000 บาท และให้จำเลยทั้งสามเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินค่าเสียหายซึ่งตนจะต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์