แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยจะสิ้นสุดลงตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง อันจะทำให้ต้องคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดนั้น ต้องเป็นกรณีที่เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องแล้ว ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องไม่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดขึ้นอีก เมื่อปรากฏว่าหลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องในคดีก่อนแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 มากระทำความผิดเป็นคดีนี้อีก ดังนั้น คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินจึงมีอำนาจตรวจสอบทรัพย์สินที่ถูกยึดมาในคดีก่อนได้ เพราะเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 22 แม้จะมีคำสั่งของพนักงานอัยการในคดีก่อนที่สั่งไม่ฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 ก็ไม่ทำให้ต้องคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 แต่อย่างใด
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งริบทรัพย์สินรวม 14 รายการตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่ 977/2548 ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 27, 29 และ 31
ศาลชั้นต้นได้สั่งให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์สินของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่ 977/2548 และมีคำสั่งคืนทรัพย์สินดังกล่าวแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และที่ 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ริบเงินสดจำนวน 4,584,450 บาท สร้อยคอทองคำ 1 เส้น โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกีย 1 เครื่อง เครื่องรับโทรทัศน์ยี่ห้อโซนี่ 1 เครื่อง เครื่องรับโทรทัศน์ยี่ห้อโซนี่ ขนาด 25 นิ้ว 1 เครื่อง เครื่องเล่นวีซีดียี่ห้อโซนี่ 1 เครื่อง เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ 1 เครื่อง เครื่องพรินเตอร์ 1 เครื่อง รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 1 ม – 3151 รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรษ สุพรรณบุรี 818 รถยนต์สองตอนท้ายบรรทุกหมายเลขทะเบียน กข 7505 สุพรรณบุรี และตู้นิรภัยให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ส่วนทรัพย์สินรายการที่ 3 พระพร้อมกรอบทองคำ และรายการที่ 13 สิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 173/1 หมู่ที่ 3 ตำบลดอนโพธิ์ทอง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้คืนแก่ผู้คัดค้านที่ 2
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบทรัพย์สินรายการที่ 3 พระพร้อมกรอบทองคำ และรายการที่ 13 สิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 173/1 ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าการที่คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินทำความเห็นให้ยึดทรัพย์สินรายการที่ 1 และที่ 14 จากการยึดในคดีก่อนมาเป็นคดีนี้จึงไม่ถูกต้องเพราะบทบัญญัติมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 บัญญัติให้กรณีมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด ให้ถือว่าการยึดหรืออายัดทรัพย์สินเป็นอันสิ้นสุดลงและต้องคืนทรัพย์สินรายการที่ 1 และ 14 ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยไม่ต้องพิจารณาว่าทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ และไม่ต้องพิจารณาถึงการได้มาโดยสุจริตมีค่าตอบแทนหรือได้มาตามควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางกุศลสาธารณหรือไม่นั้น เห็นว่า การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยจะสิ้นสุดลงตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง อันจะทำให้ต้องคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดนั้น ต้องเป็นกรณีที่เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องแล้ว ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องไม่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดขึ้นอีก เมื่อปรากฏว่าหลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องในคดีก่อนแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 มากระทำความผิดเป็นคดีนี้อีก ดังนั้น คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินจึงมีอำนาจตรวจสอบทรัพย์สินรายการที่ 1 และที่ 14 ที่ถูกยึดมาในคดีก่อนได้ เพราะเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 22 แม้จะมีคำสั่งของพนักงานอัยการในคดีก่อนที่สั่งไม่ฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 ก็ไม่ทำให้ต้องคืนทรัพย์สินรายการที่ 1 และที่ 14 ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 แต่อย่างใด
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า ทรัพย์สินรายการที่ถูกอายัดและขอให้ริบนั้นได้มาจากการทำไร่อ้อยที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูนเป็นระยะเวลา 4 ปี เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 เป็นมารดาของผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3 เป็นน้องของผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านทั้งสามต่างพักอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 173/1 ทั้งทรัพย์สินต่าง ๆ รายการที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 11 และที่ 14 ล้วนแล้วแต่อยู่ในบ้านเลขที่ 173/1 ทั้งสิ้น ส่วนทรัพย์รายการที่ 2 ที่ 3 และที่ 12 ปรากฏว่าถูกยึดในคดีก่อนที่ผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแต่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 ก็ตาม แต่ก็มีการยึดทรัพย์รายการดังกล่าวไว้โดยเห็นว่าเป็นทรัพย์ที่ผู้คัดค้านที่ 1 มีอยู่อันเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน แม้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 จะมีพยานมานำสืบว่าทรัพย์รายการที่ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 อ้างว่าเป็นของตนนั้นได้มาจากการประกอบอาชีพตามปกติและมีเงินรายได้เพียงพอในการซื้อทรัพย์ดังกล่าวมาตามฐานานุรูปและไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้านที่ 1 อันเกี่ยวกับยาเสพติดก็ตาม แต่ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ก็คงมีแต่พยานบุคคลมาเบิกความ ทำให้มีน้ำหนักน้อย ผู้ร้องเองสามารถนำสืบว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ค้าเมทแอมเฟตามีนและถูกจับกุมโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิด การยึดทรัพย์สินทั้ง 14 รายการ โดยคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินตรวจสอบแล้วเชื่อว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้คัดค้านที่ 1 จึงเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าทรัพย์สินดังกล่าวที่ยึดได้จากบ้านของผู้คัดค้านที่ 1 และยึดได้จากทรัพย์ของกลางในคดีก่อนเป็นทรัพย์สินที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นของผู้คัดค้านที่ 1 และเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งต้องริบ เว้นแต่ผู้คัดค้านทั้งสามจะสามารถนำสืบให้ได้ความว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่ใช่ของผู้คัดค้านที่ 1 ทั้งหมด และผู้คัดค้านทั้งสามได้มาไม่เกินฐานะหรือสามารถประกอบอาชีพโดยสุจริต แต่การนำสืบของผู้คัดค้านทั้งสามนั้นยังไม่ชัดแจ้งและผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการที่ทรัพย์สินทั้งหมดอยู่ในความครอบครองของผู้คัดค้านที่ 1 โดยผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ยังไม่อาจนำสืบให้ชัดแจ้งว่าเป็นของผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 คดีจึงต้องฟังว่าทรัพย์สินทั้ง 14 รายการเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 เป็นเพียงบริวารของผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านทั้งสามไม่สามารถนำพยานมาสืบให้รับฟังว่ามีรายได้เพียงพอและได้ทรัพย์ที่ถูกยึดมาโดยไม่เกินฐานะหรือสามารถประกอบอาชีพโดยสุจริต คดีจึงต้องฟังว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ทั้ง 14 รายการ เป็นของผู้คัดค้านที่ 1 และได้มาเกินฐานะหรือเกินความสามารถในการประกอบอาชีพโดยสุจริตและผู้คัดค้านที่ 1 ไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกตรวจสอบไม่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เช่นนี้ จึงต้องริบทรัพย์สินทั้ง 14 รายการตามที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน