แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยกที่ดินของจำเลยทั้งหมดให้แก่ทางราชการเพื่อตัดเป็นถนนสาธารณะย่อมทำให้ที่ดินตกเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแม้ทางราชการไม่ได้ใช้ที่ดินทั้งหมดโดยคงเหลือส่วนของที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์เป็นที่ว่างระหว่างที่ดินของโจทก์กับถนนสาธารณะที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่และแม้ที่ดินของโจทก์เพิ่งมาติดกับที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยยกที่ดินให้แก่ทางราชการแล้วก็ตามโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเดินและนำรถยนต์ผ่านที่ดินพิพาทเข้าออกที่ดินของโจทก์ไปสู่ถนนสาธารณะได้เมื่อจำเลยนำดินและทรายมาถมกองและปลูกต้นไม้ไว้ในที่ดินพิพาทปิดบังทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์เข้าออกที่ดินของโจทก์ไม่สะดวกและนำรถเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ไม่ได้ถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 40067ด้านทิศเหนือของที่ดินดังกล่าวยาวประมาณ 13 วา ติดกับถนนสาธารณะโจทก์ใช้ที่ดินด้านทิศเหนือเป็นทางเข้าออกบ้านของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวไปสู่ถนนสาธารณะอย่างสะดวกตลอดมาเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2534 จำเลยเข้าครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือ โดยนำเอาดินและทรายเข้ามาถมจนเต็มหน้าที่ดินของโจทก์ และยังนำต้นมะม่วงลงปลูกในบริเวณที่สาธารณะนั้นอีกด้วย เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์หน้าที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้สะดวกทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ไม่สะดวกแก่การใช้ประโยชน์หน้าที่ดินด้านที่ติดกับทางสาธารณะ ขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่ดินสาธารณประโยชน์ด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 40067ตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยทำให้ที่ดินดังกล่าวกลับสู่สภาพเดิม และห้ามจำเลยกับบริวารเข้ามายุ่งเกี่ยวอีก
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาประมาณ20 ปีเศษ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินสาธารณประโยชน์ทางด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 40067 ตำบลแหลมบัวอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม และให้ทำที่ดินดังกล่าวกลับคืนสู่สภาพเดิม ส่วนคำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยนำดินและทรายมาถมกองและนำต้นมะม่วงมาปลูกไว้ในที่ดินซึ่งอยู่ติดกับด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 40067 ตำบลแหลมบัวอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ของโจทก์ เดิมที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยซึ่งด้านทิศใต้อยู่ติดที่ดินของโจทก์และทิศเหนืออยู่ติดถนน จำเลยได้ยกที่ดินของจำเลยทั้งหมดให้ทางราชการเพื่อขยายถนน แต่ทางราชการเพิ่งขยายถนนในปี 2534และใช้ที่ดินของจำเลยขยายถนนไม่หมด จำเลยจึงนำที่ดินและทรายไปถมกองและนำต้นมะม่วงไปปลูกไว้ในที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งอยู่ติดกับที่ดินด้านทิศเหนือของโจทก์ดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินของโจทก์มิได้อยู่ติดกับทางสาธารณะมาแต่เดิม ที่ดินของโจทก์เพิ่งติดทางสาธารณะเมื่อจำเลยยกที่ดินของจำเลยให้แก่ทางราชการเพื่อตัดเป็นทางสาธารณะแต่ทางราชการใช้ที่ดินที่จำเลยบริจาคตัดเป็นทางสาธารณะไม่หมดจำเลยใช้สิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่เหลือ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเดือดร้อนเกินกว่าปกตินั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเคยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทมาก่อน โดยที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยที่จำเลยยกให้ทางราชการเพื่อตัดเป็นถนนสาธารณะแล้วเหลือจากการตัดใช้เป็นถนนสาธารณะก็ตามแต่เมื่อจำเลยได้ยกที่ดินของจำเลยทั้งหมดให้แก่ทางราชการเช่นนั้นก็ย่อมทำให้ที่ดินที่จำเลยยกให้แก่ทางราชการทั้งหมดตกเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และแม้ทางราชการไม่ได้ยกที่ดินทั้งหมดที่จำเลยยกให้เป็นสาธารณ โดยยังคงเหลือส่วนของที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดกับที่ดินด้านทิศเหนือของโจทก์เป็นที่ว่างระหว่างที่ดินของโจทก์กับถนนสาธารณะที่ดินพิพาทนั้นก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ ดังนั้นแม้เดิมที่ดินของโจทก์มิได้อยู่ติดกับถนนสาธารณะและที่ดินสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยที่ดินของโจทก์เพิ่งมาติดกับที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งอยู่ติดกับถนนสาธารณะต่อเมื่อจำเลยยกที่ดินของจำเลยทั้งหมดรวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่ทางราชการเพื่อตัดถนนสาธารณะก็ตาม โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเดินผ่านที่ดินสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ไปสู่ถนนสาธารณะและนำรถยนต์ผ่านเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ไปสู่ถนนสาธารณะนั้นได้ ที่โจทก์นำสืบว่าการที่จำเลยนำที่ดินและทรายมาถมกองและปลูกต้นไม้ไว้ในที่ดินพิพาทอันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินระหว่างที่ดินของโจทก์และถนนสาธารณะ ทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์เข้าออกจากที่ดินของโจทก์ไม่สะดวกและนำรถเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ไม่ได้นั้น จำเลยเองเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่าโจทก์เดินเข้าออกได้ แต่ไม่สะดวกและนำรถเข้าออกไม่ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการปิดบังหน้าที่ดินด้านทิศเหนือของโจทก์และปิดบังทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ไปสู่ถนนสาธารณะ ทำให้โจทก์ขาดความสะดวกในการใช้ที่ดินด้านทิศเหนือของโจทก์เป็นทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ผ่านที่ดินสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสู่ถนนสาธารณะอันทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นได้โดยสะดวก ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ได้ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน