คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญากัน โดยจำเลยยอมให้เอาที่ดินของจำเลยให้โจทก์ยื่นคำร้อง ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ในการนี้โจทก์ตกลงให้เงินแก่จำเลยเป็นการตอบแทน ต่อมาพ้นเวลา 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาดังกล่าว จำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อพนักงานโลหกิจว่า จนบัดนี้ โจทก์ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดการทำเหมืองได้ จำเลยจึงขอคัดค้านการอ้างสิทธิของโจทก์โดยจำเลยไม่ยอมให้ใช้ที่ดินของจำเลย ฯลฯ เช่นนี้ แม้ความจริงโจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญากันนั้นไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อความในสัญญามีเหตุทำให้จำเลยเข้าใจได้ดังคำร้องคัดค้านของจำเลยแล้ว โจทก์จะหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จหาได้ไม่

ย่อยาว

ได้ความว่า โจทก์จำเลยทำสัญญากันไว้ว่า จำเลยมีที่ดินตามใบแจ้งการครอบครองแปลงหนึ่ง จำเลยยอมยกให้โจทก์ยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ลงในที่แปลงนี้ได้ จำเลยขอคิดค่าชดเชยให้ที่ดินนี้ ๕๐,๐๐๐ บาท ในวันทำสัญญาจำเลยได้รับเงินจากโจทก์แล้ว ๓,๐๐๐ บาท ส่วนเงินที่เหลือจะรับกันในวันโอนกรรมสิทธิ์หรือเมื่อใบอนุญาตให้เปิดการทำเหมืองในที่ดินนี้ตกมาถึง และโจทก์ต้องยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรในกำหนด ๖ เดือน นับแต่วันทำสัญญา ถ้าพ้นกำหนด โจทก์ไม่ได้ขอประทานบัตรลงในที่แปลงนี้ถือว่า สัญญานี้สิ้นสุดลง ใช้ไม่ได้ต่อไป เงินมัดจำต้องเป็นพับไป จะเรียกร้องกลับคืนไม่ได้ แต่หลังจากทำสัญญานั้นเกิน ๖ เดือนแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อโลหกิจจังหวัดพังงาว่า ตามที่โจทก์ได้ตกลงทำสัญญากับจำเลย เอาที่ดินของจำเลยไปยื่นขอประทานบัตรเพื่อเปิดการทำเหมืองโดยมีเงื่อนไขว่า จะยื่นขอให้ได้เปิดการทำเหมือง ภายในกำหนด ๖ เดือนเท่านั้น แต่จนบัดนี้ โจทก์ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตเปิดการทำเหมือง เมื่อพ้นกำหนดเช่นนี้แล้ว จำเลยถือว่าหมดภาระผูกพันกับโจทก์แล้ว และจำเลยขอคัดค้านการอ้างสิทธิของโจทก์โดยจำเลยไม่ยินยอมให้ใช้ที่ดินของจำเลย ฯลฯ
โจทก์ถึงฟ้องหาว่า จำเลยแจ้งความเท็จต่อโลหกิจจังหวัดพังงา โดยโจทก์ถือว่าในสัญญากำหนดแต่เพียงว่า โจทก์จะต้องยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรภายใน ๖ เดือน ซึ่งโจทก์ก็ได้ยื่นภายในกำหนดแล้ว คำคัดค้านของจำเลยจึงเป็นความเท็จ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๑๘ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คำแจ้งความเท็จของจำเลยไม่ได้ทำให้โจทก์เสียหาย ทางการสั่งยกเรื่องราวของโจทก์เพราะโจทก์ขอประทานบัตรทับที่ที่เขาขอผูกขาดไว้แล้ว เป็นความผิดของโจทก์เอง ไม่ใช่เพราะคำคัดค้านของจำเลย การกระทำของจำเลยยังไม่ครบองค์ความผิดตาม มาตรา ๑๑๘, ๑๓๗ ตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในสัญญาไม่มีคำว่า ให้ได้ แต่คำร้องของจำเลยมีคำว่าให้ได้ ก็ดี ก็เป็นเรื่องที่จำเลยถือเอาการแปลข้อความในสัญญาเป็นเหตุที่จะปฏิเสธสัญญา คือ โจทก์จะต้องยื่นคำขอประทานบัตรเปิดทำเหมืองแร่ภายในกำหนด ๖ เดือน เมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาเช่นนี้ จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านปฏิเสธสัญญาว่าหมดภาระผูกพันกับโจทก์ต่อไป จึงไม่ใช่เรื่องจำเลยแจ้งความเท็จ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาสั่งรับฎีกาของโจทก์ว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยยังไม่ได้ทำผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานดังฟ้อง แต่เป็นเรื่องที่จำเลยแปลสัญญาหรือเข้าใจข้อความในสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ว่าเป็นดังที่จำเลยกล่าวในคำร้องของจำเลย เพราะเห็นได้จากข้อความในสัญญานั้นเอง กล่าวคือ ในสัญญามีกำหนดเวลา ๖ เดือน เป็นการตายตัวอยู่และได้กำหนดกันไว้ว่า พ้นกำหนด ๖ เดือน นับแต่วันทำสัญญาแล้ว สัญญาเป็นอันเลิกกันใช้ไม่ได้ต่อไป เมื่อจำเลยยื่นคำร้องต่อพนักงานโลหกิจ ก็พ้นเวลา ๖ เดือน นับแต่วันทำสัญญาแล้ว จึงเห็นได้ว่าจำเลยน่าจะเข้าใจว่า ตามสัญญาโจทก์จะต้องยื่นคำขอ ให้ได้ เปิดการทำเหมืองภายใน ๖ เดือนเท่านั้น ตามที่ปรากฏในคำร้องของจำเลย เพราะถ้าตามสัญญานั้น ให้สิทธิโจทก์ที่จะยื่นคำร้องขอประทานบัตรเมื่อไร ๆ ก็ได้ ภายใน ๖ เดือน ส่วนจะได้รับอนุญาตประทานบัตรเมื่อไร ไม่มีกำหนด ซึ่งอาจเป็นปีหรือหลาย ๆ ปีก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ คู่สัญญาก็ไม่น่าจะกำหนดเลิกสัญญากันไว้ เมื่อข้อความในสัญญามีเหตุทำให้จำเลยเข้าใจได้ดังคำร้องของจำเลย โจทก์จะหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จหาได้ไม่
ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share