คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สินค้าเครื่องประดับบ้านเรือนซึ่งจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.13 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ. 2503 หมายความว่าสิ่งของที่ใช้ตกแต่งให้สวยงาม ทำให้บ้านเรือนที่ใช้วัตถุหรือสิ่งของนั้นประดับหรือตกแต่งมีความสวยงามไปด้วย ความสวยงามของวัตถุหรือสิ่งของดังกล่าวตามลักษณะจึงควรเป็นวัตถุหรือสิ่งของที่มีคุณค่าในตัวเองมีความประณีต สวยงาม เหมาะสมที่จะใช้ประดับหรือตกแต่งบ้านเลือนเท่านั้น โดยผู้ซื้อมิได้นำไปใช้ตามสภาพเช่นสิ่งของทั่ว ๆ ไปที่ใช้ในบ้านเรือน ส่วนสินค้าเครื่องใช้ในบ้านเรือนซึ่งจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11 ตามพระราชกำหนดดังกล่าว มีความหมายว่าสิ่งของที่ทำขึ้นใช้การต่าง ๆ ของใช้ เครื่องใช้ไม้สอยเป็นวัตถุหรือสิ่งของที่ตามลักษณะเหมาะสมสำหรับใช้สอยในบ้านเรือนเท่านั้น ไม่มีคุณค่าหรือความสวยงามในทางที่จะประดับหรือตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม
แจกันที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่ขนาด 6 นิ้วถึง14 นิ้วเป็นเนื้อกระเบื้องหรือวัตถุที่ผลิตไม่ขาวใส ลวดลายและการป้ายสีถึงแม้ว่าจะดูแปลกตา แต่ก็ไม่มีความประณีตสวยงาม แจกันบางใบมีรอยตำหนิเป็นจุดในเนื้อกระเบื้องราคาที่โจทก์ซื้อมาเป็นราคาไม่แพง จึงไม่มีคุณค่าพอที่จะนำไปเป็นเครื่องประดับบ้านเรือน ประกอบกับตามสภาพและขนาดของแจกันดังกล่าวมีความเหมาะสมที่จะนำไปเป็นเครื่องใช้ในบ้านเรือนทั่ว ๆ ไป จึงเป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11 ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร(ฉบับที่86) พ.ศ. 2521 ไม่ใช่สินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.13
จำเลยรับชำระค่าภาษีไว้จากโจทก์โดยชอบ ต่อมาโจทก์จำเลยโต้เถียงกันว่า แจกันขนาด 6 นิ้วถึง 14 นิ้วที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทที่ 69.11 หรือประเภทที่ 69.13ซึ่งถ้าเป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11 แล้วก็ต้องห้ามนำเข้าเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ โจทก์จึงสามารถนำเข้าได้ ดังนั้นโจทก์จึงยังไม่มีสิทธิรับเงินภาษีอากรต่าง ๆ ที่ชำระไว้แก่จำเลยคืน จนกว่าโจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ให้นำแจกันขนาดต่าง ๆ ดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรและหรือโจทก์ส่งแจกันขนาดต่าง ๆ ดังกล่าวออกไปยังเมืองต่างประเทศ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำสินค้าประเภทแจกันเข้ามาในราชอาณาจักร โดยสั่งซื้อจากประเทศฮ่องกงเป็นแจกันขนาด 6 นิ้ว,8 นิ้ว, 10 นิ้ว, 12 นิ้ว, 14 นิ้ว และ 24 นิ้ว โจทก์ได้ชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลและเงินประกันแล้ว แต่จำเลยอ้างว่าราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นการสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร จำเลยได้กักสินค้าของโจทก์ไว้ทั้งหมดแล้วมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญากับโจทก์ ในที่สุดพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องและมีคำสั่งให้คืนสินค้าทั้งหมดแก่โจทก์ โจทก์ได้ติดต่อขอรับสินค้าจากจำเลยแต่จำเลยไม่ยอมส่งมอบสินค้าแก่โจทก์โดยอ้างว่าแจกันขนาด 6 นิ้วถึง 14 นิ้วที่โจทก์นำเข้ามาเป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรที่ 69.11 ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 86) พุทธศักราช 2521 ความจริงแล้วสินค้าแจกันทั้งหมดที่โจทก์นำเข้ามาเป็นสินค้าในประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ 69.13 ซึ่งไม่มีกฎหมายใดห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร จึงขอให้บังคับจำเลยคืนแจกันทั้งหมดของโจทก์หากส่งคืนไม่ได้ให้จำเลยชดใช้ราคาแทนพร้อมเงินภาษีที่เรียกเก็บไปแก่โจทก์และดอกเบี้ย หากศาลฟังว่าสินค้าที่จำเลยนำเข้ามาเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร ก็ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าภาษีอากรและเงินประกันทั้งหมดที่จำเลยเรียกเก็บไปจากโจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าสินค้าประเภทแจกันที่โจทก์นำเข้าขนาด 6 นิ้ว,8 นิ้ว, 10 นิ้ว, 12 นิ้ว และ 14 นิ้ว เป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรที่ 69.11 เป็นสินค้าที่ต้องกำกัด หากโจทก์จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องมีใบอนุญาตนำเข้าตามประกาศกระทรวงพาณิชย์(ฉบับที่ 86) พ.ศ. 2521 ส่วนแจกันขนาด 24 นิ้วที่โจทก์นำเข้ามาเป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรที่ 69.13 ซึ่งโจทก์จะขอรับไปได้เมื่อได้ชำระเงินต่างๆ ครบถ้วนตามกฎหมายและระเบียบแล้วคำสั่งของพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้องโจทก์ในทางอาญาเป็นคนละส่วนกับปัญหาที่สินค้าที่โจทก์นำเข้ามาเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ 69.13 หรือไม่ จำเลยไม่มีหนี้และไม่มีภาระหน้าที่ตามกฎหมายใดที่จะต้องชดใช้เงินแก่โจทก์สำหรับราคาสินค้าของโจทก์และโจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องขอคืนเงินค่าภาษีอากรและจะได้คืนก็เฉพาะเมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์พิธีการทางศุลกากรและได้คืนตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น แต่เมื่อโจทก์ยังมิได้ดำเนินการแต่อย่างใด สิทธิเรียกร้องของโจทก์ยังไม่เกิดขึ้น จำเลยจึงไม่มีหน้าที่อันพึงจะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าสินค้าแจกันขนาด 6 นิ้ว, 8 นิ้ว, 10นิ้ว, 12 นิ้ว และ 14 นิ้วที่โจทก์สั่งซื้อจากประเทศฮ่องกงนำเข้ามาในราชอาณาจักรไม่มีคุณค่าหรือลักษณะพอที่จะนำไปใช้เป็นเครื่องประดับบ้านเรือน แต่เป็นเครื่องใช้ในบ้านเรือนจึงเป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรที่ 69.11 ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ (ฉบับที่ 86) พ.ศ. 2521 ไม่ใช่สินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรที่ 69.13 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยจึงมีสิทธิกักสินค้าของโจทก์โดยไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาค่าสินค้าพร้อมทั้งค่าภาษีและโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับภาษีอากรคืนต่อเมื่อโจทก์ส่งสินค้าดังกล่าวออกไปยังเมืองต่างประเทศ แต่ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้ส่งสินค้าดังกล่าวออกไปยังเมืองต่างประเทศ โจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิได้รับค่าภาษีอากรคืน พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ในปัญหาว่าสินค้าประเภทแจกันขนาด 6 นิ้ว, 8 นิ้ว, 10 นิ้ว, 12นิ้ว และ 14 นิ้วเป็นสินค้าที่อยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.13 หรือในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 กำหนดสิ่งของในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.13 ว่ารูปนั้น เครื่องประดับกายและประดับบ้านเรือนและเครื่องประดับอย่างอื่นๆโคมไฟฟ้า เครื่องประดับกายและเครื่องประดับเครื่องแต่งกาย อื่นๆส่วนสิ่งของในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11 กำหนดว่าเครื่องโต๊ะอาหาร เครื่องใช้ในบ้านเรือนและเครื่องสุขภัณฑ์ทำด้วยปอร์ซเลนหรือกระเบื้องชนิดเนื้อละเอียดรวมทั้งที่ทำด้วยปอร์ซเลนชนิดไม่เคลือบและชนิดใสคล้ายหินอ่อนแต่ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรมิได้กำหนดความหมายของคำว่าเครื่องประดับบ้านเรือนและเครื่องใช้ในบ้านเรือนไว้โดยเฉพาะสำหรับคำว่าเครื่องประดับตามความรู้สึกของคนโดยทั่วๆ ไปหมายความว่า สิ่งของที่ใช้ตกแต่งให้สวยงาม แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายว่าวัตถุหรือสิ่งของที่จะนำมาตกแต่งนั้นจะต้องเป็นวัตถุหรือสิ่งของที่สวยงามจึงจะทำให้บ้านเรือนที่ใช้วัตถุหรือสิ่งของนั้นประดับหรือตกแต่งมีความสวยงามไปด้วย และความสวยงามของวัตถุหรือสิ่งของดังกล่าวตามลักษณะจึงควรเป็นวัตถุหรือสิ่งของที่มีคุณค่าในตัวเอง มีความประณีตสวยงามเหมาะสมที่จะใช้ประดับหรือตกแต่งบ้านเรือนเท่านั้น โดยผู้ซื้อมิได้นำไปใช้ตามสภาพเช่นสิ่งของทั่วๆ ไปที่ใช้ในบ้านเรือนส่วนคำว่า เครื่องใช้มีความหมายว่า สิ่งที่ทำขึ้นใช้การต่างๆ ของใช้เครื่องใช้ไม้สอย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายว่าเป็นวัตถุหรือสิ่งของที่ตามลักษณะเหมาะสมสำหรับใช้สอยในบ้านเรือนเท่านั้น ไม่มีคุณค่าหรือความสวยงามในทางที่จะประดับหรือตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม สำหรับแจกันที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรในคดีนี้ ตัวโจทก์และนายประชาสามีโจทก์ก็ยืนยันว่าเป็นสินค้าระดับปานกลางมิใช่สินค้าที่ดีที่สุดเพราะเนื้อกระเบื้องไม่ขาวใส ลวดลายและการป้ายสียังไม่ละเอียดเหมือนสินค้าชั้นดีที่สุดฝีมือในการทำจัดว่าพอใช้ได้ยังไม่ถึงกับเป็นฝีมือชั้นเยี่ยม คนจีนบางรายก็นำแจกันไปวางไว้บนหิ้งพระบ้าง ไปวางไว้ที่หน้าเจ้าที่บ้างเพราะราคาไม่แพง เมื่อศาลฎีกาพิจารณาแจกันที่โจทก์นำเข้ามาและจำเลยนำส่งเป็นวัตถุพยานต่อศาลตั้งแต่ขนาด 6 นิ้ว จนถึงขนาด 14 นิ้วแล้วเห็นว่าเนื้อกระเบื้องหรือวัตถุที่ใช้ผลิตไม่ขาวใสลวดลายและการป้ายสีถึงแม้ว่าจะดูแปลกตาแต่ก็ไม่มีความประณีตสวยงาม แจกันบางใบจะมีรอยตำหนิเป็นจุดๆ ในเนื้อกระเบื้องเองราคาที่โจทก์ซื้อเข้ามาเมื่อคิดเป็นเงินไทยแล้ว ขนาด 6 นิ้วมีราคาคู่ละประมาณ 20 บาท ส่วนขนาด 14 นิ้ว มีราคาคู่ละประมาณ 60 บาท ซึ่งเป็นราคาไม่แพง จึงไม่มีคุณภาพพอที่จะนำไปเป็นเครื่องประดับบ้านเรือน ประกอบกับตามสภาพและขนาดของแจกันดังกล่าวมีความเหมาะสมที่จะนำไปเป็นเครื่องใช้ในบ้านเรือนทั่วๆ ไป ซึ่งตัวโจทก์เองก็ยังยอมรับว่าคนจีนบางรายได้นำแจกันดังกล่าวไปวางไว้บนหิ้งพระ และที่หน้าเจ้าที่ในการที่นำไปวางไว้ที่สถานที่ดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ชัดว่าวางไว้เพื่อใช้ปักดอกไม้บูชาพระและเจ้าที่นั่นเองอันเป็นการใช้ตามสภาพของแจกันเหล่านั้น จึงเป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11 ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 86) พ.ศ. 2521 ไม่ใช่สินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.13 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าและแบบแสดงรายการการค้า ที่โจทก์อ้างว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้โจทก์และบุคคลอื่นเคยนำแจกันขนาดและลวดลายอย่างเดียวกันกับแจกันในคดีนี้เข้ามาในราชอาณาจักรหลายครั้ง จำเลยก็ไม่ได้ท้วงติงและตรวจปล่อยของให้โจทก์และบุคคลอื่นรับไปได้ทุกครั้ง เห็นว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานมาแสดงให้ศาลเห็นว่าโจทก์หรือบุคคลอื่นได้เคยนำแจกันที่มีขนาดและลักษณะเช่นเดียวกับแจกันในคดีนี้เข้ามาในราชอาณาจักรก่อนเกิดเหตุคดีนี้จริงหรือไม่เป็นเพียงการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ส่วนที่อ้างว่าหลังเกิดเหตุคดีนี้แล้วนายประชาสามีโจทก์ได้นำแจกันที่มีขนาดและลักษณะเช่นเดียวกับแจกันในคดีนี้เข้ามาในราชอาณาจักรอีกจำเลยได้ตรวจปล่อยให้นายประชารับไปโดยไม่ได้ท้วงติงเห็นว่าตามเอกสารหมาย จ.6 ใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าที่นายประชาสามีโจทก์เป็นผู้นำแจกันเข้ามาในราชอาณาจักรหลังจากเกิดเหตุคดีนี้นั้น ปรากฏว่าในเอกสารหมายจ.6 มีบันทึกข้อความไว้ว่าเพิ่มค่าธรรมเนียมพิเศษกระทรวงพาณิชย์ 5 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่า ตามใบขนสินค้าขาเข้าเอกสารหมายจ.6 ดังกล่าวจะต้องมีการกระทำที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์มิฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีบันทึกข้อความดังกล่าวไว้ ข้อเท็จจริงจึงไม่เหมือนกับการนำแจกันเข้ามาในราชอาณาจักรของโจทก์ในคดีนี้ จึงไม่อาจอ้างเป็นเหตุผลสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ในคดีนี้ได้
ในปัญหาว่า จำเลยจะต้องคืนเงินภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและเงินประกันค่าภาษีที่โจทก์ชำระไว้ให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่โจทก์นำแจกันทั้งหมดเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์ได้สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าไว้ว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.13 ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ต้องห้ามนำเข้าตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์เรื่อง การนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 86) พ.ศ. 2521และชำระภาษีประเภทต่างๆ ดังกล่าวแก่จำเลยตามหน้าที่ของโจทก์การที่จำเลยรับชำระค่าภาษีไว้จากโจทก์จึงเป็นการรับชำระไว้โดยชอบ ต่อมาจำเลยไม่ยอมตรวจปล่อยแจกันให้แก่โจทก์โดยอ้างว่าแจกันขนาด 6 นิ้ว ถึง 14 นิ้ว เป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11 ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์เสียก่อน ทางโจทก์ได้โต้แย้งว่าแจกันที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.13 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าฯ จึงเห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยยังโต้เถียงกันอยู่ว่าแจกันที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรจะจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทใด แต่อย่างไรก็ดีตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวก็มิได้ห้ามนำสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11เข้ามาในราชอาณาจักรไว้อย่างเด็ดขาด หากโจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์แล้วโจทก์ก็สามารถนำเข้าได้ ดังนั้นโจทก์จึงยังไม่มีสิทธิรับเงินภาษีอากรต่างๆ ที่ชำระไว้แก่จำเลยสำหรับแจกันขนาด 6 นิ้ว ถึง 14 นิ้วคืนจนกว่าโจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ให้นำแจกันขนาดต่างๆ ดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรและหรือโจทก์ส่งแจกันขนาดต่างๆ ดังกล่าวออกไปยังเมืองต่างประเทศ ส่วนแจกันขนาด 24 นิ้ว ที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรพร้อมกับแจกันขนาดต่างๆ ดังกล่าวนั้นจำเลยยอมรับแล้วว่าเป็นสินค้าที่อยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.13 ซึ่งไม่ต้องห้ามนำเข้า โจทก์จึงมีสิทธิไปขอรับจากจำเลยเมื่อใดก็ได้ แต่เป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่ไปขอรับจากจำเลยเอง
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า หากศาลฟังว่าแจกันที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรนอกจากขนาด 24 นิ้ว เป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 69.11 ซึ่งต้องห้ามนำเข้าตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์จำเลยมีสิทธิเพียงแต่กักสินค้าดังกล่าวไว้ ไม่มีสิทธิที่จะเรียกภาษีจากสินค้าดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยได้เรียกเก็บภาษีอากรไปจากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่คืนค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์ เพราะการนำแจกันดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรยังไม่สำเร็จ โจทก์จึงยังไม่ต้องรับผิดเสียค่าภาษีสำหรับแจกันตามมาตรา 10 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรนั้น เห็นว่าปัญหาข้อนี้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ศาลอุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share