คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11776/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและซื้อที่ดินจากจำเลย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 บัญญัติว่า “คดีลักทรัพย์…ฉ้อโกง…ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดคืน เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย” ดังนี้ เมื่อจำเลยหลอกลวงเอาเงิน 80,000 บาท ของผู้เสียหายไปอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงและโจทก์มีคำขอให้จำเลยคืนเงิน 80,000 บาท ตามที่ ป.วิ.อ. มาตรา 43 ให้อำนาจไว้จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวน 80,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนที่ดินที่จำเลยจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้เสียหายแล้วนั้น หากผู้เสียหายไม่โอนที่ดินคืนแก่จำเลย จำเลยชอบที่จะดำเนินคดีทางแพ่งตามสิทธิของจำเลยต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 80,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี 6 เดือน คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 80,000 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8510 ตำบลหนองบอน อำเภอสระแก้ว (เมืองสระแก้ว) จังหวัดปราจีนบุรี (จังหวัดสระแก้ว) เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 46 ตารางวา ให้แก่ดาบตำรวจสุชีพ ผู้เสียหาย ในราคา 100,000 บาท โดยหลอกลวงว่าที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่หลังสถานีรถไฟสระแก้ว ความจริงแล้วที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ที่ตำบลโคกปี่ฆ้อง อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว และมีเนื้อที่ 1 งาน 8 ตารางวา เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตกลงซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลย โดยชำระเงินมัดจำจำนวน 80,000 บาท ให้จำเลยในวันทำสัญญาซื้อขาย ต่อมาจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้ผู้เสียหาย และผู้เสียหายชำระเงินส่วนที่เหลือจำนวน 20,000 บาท ให้จำเลย อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง เมื่อผู้เสียหายทราบว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย จำเลยได้คืนเงินจำนวน 20,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยคืนเงิน 80,000 บาท แก่ผู้เสียหายชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 บัญญัติว่า “คดีลักทรัพย์…ฉ้อโกง…ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดคืน เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย” ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยหลอกลวงเอาเงินจำนวน 80,000 บาท ของผู้เสียหายไปอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงและโจทก์มีคำขอให้จำเลยคืนเงินจำนวน 80,000 บาท ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ให้อำนาจไว้ จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวน 80,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนที่ดินที่จำเลยจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้เสียหายแล้วนั้น หากผู้เสียหายไม่โอนที่ดินแปลงดังกล่าวคืนให้จำเลย จำเลยชอบที่จะดำเนินคดีทางแพ่งตามสิทธิของจำเลยต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share