แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องกับ พ. ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทโดยตกลงกันว่าผู้ร้องจะชำระเงินส่วนที่เหลือภายใน 10 ปีแล้วจึงจะไปโอนที่พิพาทกัน เมื่อผู้ร้องไม่ได้ชำระเงินค่าที่พิพาทส่วนที่เหลือให้แก่ พ.แม้พ. จะได้มอบที่พิพาทให้ผู้ร้องเข้าครอบครองแล้วก็ถือไม่ได้ว่า พ. มีเจตนาสละการครอบครองที่พิพาท ดังนี้ ผู้ร้องครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ พ. แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่พิพาทเกินกว่า 10 ปีก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2504 ผู้ร้องตกลงจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 886 เนื้อที่ประมาณ 89 ตารางวา จากร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์ สะหนิบุตร ในราคา 12,000 บาท ผู้ร้องวางมัดจำไว้ 4,000 บาท ร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์ได้มอบที่ดินดังกล่าวให้ผู้ร้องครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญา เงินค่าซื้อที่ดินส่วนที่เหลือผู้ร้องจะชำระในพ.ศ. 2506 ผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 886 และสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด ปัตตานี ใส่ชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ด้วย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์ไม่เคยขายที่ดินให้ผู้ร้องผู้ร้องไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท ผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเนื้อที่ 89 ตารางวา ไม่ทราบว่าเป็นส่วนไหนของที่ดินจึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘……ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ชำระเงินค่าที่พิพาทส่วนที่เหลือให้ร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์
ปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านข้อต่อไปว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องนำสืบอ้างว่าในการทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือวางมัดจำเอกสารหมาย จ.3 ผู้ร้องกับร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์ตกลงกันว่าให้ผู้ร้องชำระเงินส่วนที่เหลือภายใน 1 ปี แล้วจึงจะไปโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ชำระเงินค่าที่พิพาทส่วนที่เหลือให้แก่ร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์แม้ว่าร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์ได้มอบที่พิพาทให้ผู้ร้องเข้าครอบครองแล้วก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์มีเจตนาสละการครอบครองที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเพียงผู้จะซื้อดังนั้น การที่ผู้ร้องเข้าครอบครองที่พิพาทจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.3 อันเป็นการยึดถือที่พิพาทแทนร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์มิใช่เป็นการยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ ทั้งไม่ปรากฏว่าต่อมาผู้ร้องได้เปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังร้อยตำรวจเอกพยัคฆ์หรือทายาทว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนถึงแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าผู้ร้องจะได้ครอบครองที่พิพาทมาเกินกว่า 10ปี ก็หาได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382ไม่…………….’
พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง.