คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีภริยาที่สมรสกันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เมื่อได้ตกลงหย่ากันโดยทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คน ย่อมเป็นการหย่าที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน ได้ทำสัญญาหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ในสัญญานั้นได้ตกลงยกที่นาและบ้านให้แก่บุตรซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นให้แก่บุตร โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเรียกเอาทรัพย์สินที่ตกลงกันยกให้บุตรนั้นมาเป็นของตนเอง ถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องในนามของจำเลย ให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้แก่บุตรตามสัญญาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ 30 ปีมานี้ โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีสินเดิม ฝ่ายจำเลยไม่มี เวลานี้ทรัพย์สินสมรสอยู่ในความปกครองของจำเลย ศาลจังหวัดลพบุรีได้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันแล้ว แต่ยังไม่ได้แบ่งสินสมรสกันสินเดิมของโจทก์ได้ขายเอาเงินมาใช้จ่ายในระหว่างโจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันหมดแล้ว จึงต้องเอาสินสมรสมาใช้ให้โจทก์ก่อนเป็นเงิน4,500 บาท และโจทก์ได้รับส่วนแบ่งสินสมรส 2 ส่วนเป็นเงิน 53,000บาท จำเลยได้เพียง 1 ส่วนเป็นเงิน 26,500 บาท ขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือหย่าขาดจากสามีภริยากันพร้อมกับตกลงแบ่งสินสมรสระหว่างกันแล้ว และโจทก์จำเลยได้ตกลงยกที่นากับเรือน 1 หลังให้แก่บุตร 3 คน โดยโจทก์สัญญาจะไปจัดการแก้ทะเบียนใส่ชื่อบุตรทั้ง 3 คน แต่ไม่ได้จัดการโจทก์มาฟ้องคดีนี้เพื่อเอาที่นาและเรือนที่ยกให้บุตรมาเป็นประโยชน์ส่วนตัว เป็นการผิดสัญญาจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้โอนที่นาและบ้านให้แก่บุตร

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับคดีตามฟ้องโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่นาและบ้านให้แก่บุตร

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยต่างมีสินเดิมด้วยกัน ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดลพบุรีขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ปัญหาต่อไปมีว่า ก่อนศาลจังหวัดลพบุรีพิพากษาตามยอมให้นั้น โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือหย่าขาดจากสามีภริยาและแบ่งสินสมรสกันแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาหย่าและแบ่งทรัพย์สินสมรสกันที่บ้านนายสุดตากำนัน โดยนายสุดตาและนายคำลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาหย่าและแบ่งทรัพย์เนื่องจากโจทก์จำเลยสมรสกันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ฉะนั้น การหย่าโดยโจทก์จำเลยตกลงยินยอมและได้ทำเป็นหนังสือ มีพยานลงลายมือชื่อรับรอง 2 คน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1498 จึงสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย มีผลให้โจทก์จำเลยขาดจากสามีภริยากันนับแต่วันที่หย่ากันนั้นเป็นต้นมา ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยมีอำนาจฟ้องแย้งในนามของจำเลยให้ถอนชื่อโจทก์ออกจากโฉนดที่ดินและใส่ชื่อบุตรเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และให้โจทก์โอนเรือน 1 หลังให้แก่บุตรได้หรือไม่ ได้พิเคราะห์เห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงยินยอมทำสัญญาหย่าและแบ่งสินสมรสกัน ในสัญญานั้นโจทก์จำเลยได้ตกลงกันยกที่นาให้แก่บุตรผู้เยาว์แล้ว เมื่อโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเรียกเอาที่ดินและเรือนซึ่งยกให้แก่บุตรนั้นมาเป็นของตนเอง แทนที่จะยกให้แก่บุตรตามที่สัญญาไว้กับจำเลยจึงถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องในนามของจำเลยขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาหย่าและแบ่งสินสมรสที่ทำไว้กับจำเลยได้

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share