แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินและเรือนให้โจทก์ กับให้ขับไล่จำเลยออกไปแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมออกจากทรัพย์พิพาทและยอมโอนให้โจทก์ ศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว แม้จำเลยบางคนจะเป็นผู้เยาว์ แต่คำพิพากษาตามยอมนั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์เป็นคู่ความในคดีอยู่แล้ว โดยมี ก. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี และไม่มีอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมจนคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมได้ ศาลจะปฏิเสธการบังคับคดีแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์โดยอ้างว่า ก.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) ดังนี้ หาชอบไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๑ พร้อมด้วยตัวเรือนที่จำเลยอาศัยอยู่ได้จากการขายทอดตลาดของศาล โจทก์ชำระเงินต่อศาลแล้ว เดิมทรัพย์นี้บิดาจำเลยทั้งสี่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่บิดามารดาจำเลยทั้งสี่วายชนม์แล้ว โจทก์จึงขอให้จำเลยทั้งสี่ผู้เป็นทายาทรับมรดกทรัพย์รายนี้แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ จำเลยปฏิเสธ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยไปขอรับมรดกที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๑ พร้อมด้วยเรือนแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ หากไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้ขับไล่จำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้องในที่ดินรายนี้
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำให้การต่อสู้คดี จำเลยที่ ๒ ไม่ยื่นคำให้การ
สิบตรีกมลในฐานะส่วนตัวและแทนเด็กชายสุรพลผู้เยาว์ ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่าเป็นบุตรผู้ตาย มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีนี้ร่วมกับจำเลยทั้งสี่ และขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ซึ่งเป็นผู้เยาว์ และของเด็กชายสุรพลด้วย ศาลชั้นต้นอนุญาต
สิบตรีกมลในฐานะผู้ร้องสอดและในฐานะผู้แทนเฉพาะคดีให้การว่า ขอถือเอาคำให้การของจำเลยที่ ๑ เป็นของตนด้วย
ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมชำระเงิน ๖,๒๐๐ บาทให้โจทก์ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๑๔ โจทก์ยอมโอนทรัพย์ตามฟ้องคืนให้จำเลยเมื่อโจทก์ได้รับเงินตามจำนวนและกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ถ้าจำเลยผิดนัด จำเลยยอมออกจากทรัพย์พิพาทและยอมโอนที่พิพาทให้โจทก์ สิบตรีกมลและทนายจำเลยลงชื่อในสัญญายอมฝ่ายจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
หลังจากครบกำหนดเวลาตามสัญญายอมแล้ว จำเลยไม่ชำระเงินตามยอมและไม่ยอมออกจากที่พิพาท โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังจำเลยและบริวาร
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่สิบตรีกมลพี่ชายของนายสวัสดิ์กับพวกผู้เยาว์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์นั้นเป็นการทำไปโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๔๖(๔) สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จึงใช้บังคับต่อทรัพย์สินในส่วนที่เป็นของนายสวัสดิ์นางสาวแสงอรุณและเด็กชายสุรพลจำเลยผู้เยาว์หาได้ไม่ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันจำเลยผู้เยาว์ดังระบุชื่อมาแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับให้จำเลยผู้เยาว์ทั้งสามปฏิบัติตามคำบังคับซึ่งออกตามความในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้แทนเฉพาะคดีทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์แล้ว ไม่จำต้องขออนุญาตต่อศาลอีกพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการต่อไปตามที่โจทก์ร้องขอ
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาตามยอมคดีนี้ย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ทั้งสามเป็นคู่ความในคดีอยู่แล้ว โดยมีสิบตรีกมลเป็นผู้แทนเฉพาะคดี และไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม จนคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมได้ตามมาตรา ๒๗๑ การที่ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำสั่งศาลชั้นต้นซึ่งปฏิเสธการบังคับคดีแก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย
พิพากษายืน