คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาแจ้งความเท็จดังนั้น ข้อหาดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 13

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกรอกข้อความในกระดาษเปล่าที่มีลายมือชื่อโจทก์โดยจำเลยที่ ๑ กรอกข้อความว่า โจทก์รับฝากเงินจำเลยที่ ๑ จำนวน ๔๕,๕๐๐ บาท แล้วจำเลยที่ ๑ลงลายมือชื่อเป็นผู้ฝาก ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ลงลายมือชื่อเป็นพยานโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ แล้วจำเลยที่ ๑ นำเอกสารดังกล่าวไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสกลนครอันเป็นเท็จว่า โจทก์ยักยอกทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ โดยเจตนาเพื่อจะแกล้งโจทก์ให้ได้รับโทษทางอาญา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๔, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๘๓, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๘ ประกอบมาตรา ๒๖๕ ให้วางโทษตามมาตรา ๒๖๕ จำเลยที่ ๒ที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ในความผิดฐานแจ้งความเท็จจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาแจ้งความเท็จ โจทก์ฎีกาคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม๒๕๓๒ อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ มีผลใช้บังคับแล้ว ดังนั้นในข้อหาดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๑๗)พ.ศ. ๒๕๓๒ มาตรา ๑๓ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ปลอมเอกสารสิทธิดังกล่าว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๕, ๒๖๘ ประกอบมาตรา ๒๖๕ ลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share