แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์หลายคนฟ้องจำเลยโดยอาศัยหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำให้โจทก์ในฉบับเดียวรวมกัน มิได้แยกการชำระหนี้ไว้ต่างหากจากกัน ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นว่าจำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์ทุกคนรวม 6,664 บาท แม้มูลหนี้เดิมของโจทก์แต่ละคนจะเป็นหนี้คนละราย คนละจำนวนไม่ใช่เจ้าหนี้ร่วมก็ดี แต่โดยที่ผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ถือได้ว่า จำเลยได้ยอมรับว่าได้เป็นหนี้โจทก์แต่ละคนแล้ว โจทก์ทุกคนจึงมีอำนาจเข้าชื่อร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในสำนวนเดียวกันได้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีว่า จำเลยยอมชำระหนี้ให้โจทก์รวม 22 คน เป็นกรณีที่เกิดจากการที่โจทก์บางคนได้ร้องทุกข์กล่าวหาในคดีอาญาว่า จำเลยฉ้อโกง แม้โจทก์ที่ไปร้องทุกข์นั้น จะไม่ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์คนอื่นให้ทำสัญญายอมนั้นก็ตาม ในการดำเนินคดีแพ่งตามสัญญายอมนั้น โจทก์ไม่จำต้องอาศัยคำร้องทุกข์ในคดีอาญานั้นเลย เมื่อจำเลยทำหนังสือสัญญายอมไว้ว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามรายชื่อรวม 22 คน จำเลยก็ต้องรับผิดต่อบุคคลเหล่านั้นตามสัญญานั้น แม้ว่าเจ้าหนี้บางคนจะมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญายอมดังกล่าว เจ้าหนี้บางคนเช่นว่านั้น ก็มีอำนาจฟ้องความตามสัญญานั้นได้ ไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าหนี้ทั้ง 22 คน จะต้องมอบฉันทะให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำสัญญายอมดังกล่าว กับจำเลยด้วยหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อกล่ำหัวไปจากโจทก์ รวมเป็นเงิน 13,328 บาท และผัดชำระเงิน เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ในที่สุดจำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความขอชำระหนี้ให้ครึ่งหนึ่ง คือ 6,664 บาทและจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2499 โจทก์ตกลงตามนั้น เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้ง 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มิได้ตกลงซื้อกล่ำหัวตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ถูกจับและควบคุมตัวในข้อหาทางอาญาของโจทก์ที่ได้ไปร้องทุกข์ในเรื่องนี้ไว้ จำเลยที่ 2 จึงนำหลักทรัพย์ไปประกันตัวและกดพิมพ์นิ้วมือให้ไว้ต่อเจ้าพนักงาน โดยเข้าใจว่าเป็นหนังสือสัญญาประกัน จำเลยที่ 1, จำเลยที่ 2 เพิ่งทราบว่าหนังสือที่กดพิมพ์นิ้วมือไว้นั้น เป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความในภายหลัง จำเลยทำไปโดยเข้าใจผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาประนีประนอมยอมความจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และว่าฟ้องเคลือบคลุม
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสองให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน6,664 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 เศษ 1 ส่วน 2 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้แก่โจทก์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้สมัครใจทำสัญญาประนีประนอมยอมความจริงดังโจทก์ฟ้อง
ในปัญหาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้มูลหนี้เดิมของโจทก์ จะเป็นหนี้คนละราย คนละจำนวน ไม่ใช่เจ้าหนี้ร่วมก็ดี โจทก์ก็มีอำนาจร่วมกันฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้เพราะเหตุว่า โจทก์ทุกคนในคดีนี้ฟ้องจำเลยโดยอาศัยหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำให้โจทก์ในฉบับเดียวรวมกัน มิได้แยกการชำระหนี้ไว้ต่างหากจากกัน ในสัญญานั้นว่า จำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์เป็นจำนวนรวมกัน 6,664 บาท เมื่อจำเลยผิดนัดชำระหนี้โจทก์โดยผลแห่งสัญญานี้ถือได้เสมือนหนึ่งว่า จำเลยได้ยอมรับว่า ได้เป็นหนี้โจทก์แต่ละคนแล้ว โจทก์ทุกคนจึงมีอำนาจเข้าชื่อร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยได้
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คำร้องทุกข์ที่โจทก์ยื่นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 ก็หาได้ยื่นครบถ้วนทุกคนไม่และในชั้นอำเภอ นายปันผู้แทนโจทก์ก็หาได้มีหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในการดำเนินคดีแพ่งเรื่องนี้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องอาศัยคำร้องทุกข์ในคดีอาญาเมื่อจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และจำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญานั้นไว้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ รวม 22 คนจำเลยก็จำเป็นต้องรับผิดต่อบุคคลเหล่านั้น การที่จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้านายสุนทรปลัดอำเภอฝางรับว่าเป็นหนี้และจะชำระหนี้แก่ผู้ใดแล้ว แม้ผู้นั้นมิได้ลงชื่อเป็นเจ้าหนี้ ก็มีอำนาจฟ้องความได้ นายปันจึงไม่จำเป็นต้องรับมอบฉันทะจากเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ด้วย ในส่วนที่เกี่ยวกับการที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว