แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาร่วมทุนการปลูกอ้อยซึ่งโจทก์เป็นผู้ออกเงินทุนค่าใช้จ่ายในการปลูกอ้อย จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน และตกลงให้อ้อยที่ปลูกเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน 3 ปี แต่จำเลยยอมให้โจทก์เป็นผู้ตัดอ้อยขายโรงงานแต่ผู้เดียว เงินขายอ้อยหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการตัดอ้อยแล้ว ให้ใช้คืนทุนที่โจทก์ออกไปก่อนจนกว่าจะครบ ถ้ามีเงินเหลือจากนั้นจึงจะนำไปแบ่งกันระหว่างโจทก์และจำเลยคนละครึ่งนั้น ไม่ใช่สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน
เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเต็มจำนวนที่โจทก์เสียหายแล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยเสียเบี้ยปรับให้โจทก์อีกไม่ได้ เพราะเป็นการเรียกร้องที่นอกเหนือไปจากความเสียหายที่โจทก์ได้รับ ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันทำไร่อ้อย โดยโจทก์เป็นฝ่ายออกทุนไถที่ดิน จ้างแรงงาน จัดหาพันธุ์อ้อย ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง โจทก์ลงทุนไปเป็นจำนวนเงิน 31,405 บาท ส่วนจำเลยเป็นฝ่ายนำที่ดินเนื้อที่ 50 ไร่มาลงทุน ได้ตกลงกันว่าให้โจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้จัดการมีอำนาจตัดอ้อยส่งโรงงานตามฤดูตัดอ้อยในปี 2517, 2518 และ 2519 หากจำเลยผิดสัญญาจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นพิเศษอีกเป็นเงิน 56,000 บาท ต่อมาถึงฤดูตัดอ้อย พ.ศ. 2517 จำเลยจงใจละเมิดสัญญาลอบตัดอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลคิดเป็นเงิน150,000 บาท คิดเป็นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างสูงไม่เกิน 70,000 บาท คงเหลือเป็นกำไรสุทธิ 80,000 บาท เป็นส่วนกำไรของโจทก์ 40,000 บาท โจทก์ได้บอกเลิกการเป็นหุ้นส่วนและชำระบัญชีและทวงถามให้จำเลยคืนต้นทุน แบ่งผลกำไรและใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 127,405 บาท แต่จำเลยปฏิเสธ ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นทุนแบ่งผลกำไรและค่าเสียหายจำนวน 132,182 บาทให้โจทก์และแบ่งผลกำไรจากการขายอ้อยในปี พ.ศ. 2518, 2519 อีก 40,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ลงทุนค่ารถไถป่า ค่ายาฆ่าหญ้า และแรงงานรวมเป็นเงิน 10,000 บาทเท่านั้น จำเลยลงทุนไถป่า และออกเงินค่าพันธุ์อ้อย รวม14,000 บาทในปี พ.ศ. 2516 อ้อยโต จำเลยให้โจทก์ตัด แต่โจทก์ไม่ยอมตัดอ้างว่ายังสั้นอยู่ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงจำต้องตัดอ้อยและขายให้ผู้มีชื่อเป็นการหักกลบลบหนี้กันกับค่าใช้จ่ายของจำเลย อ้อยที่แตกหน่อใหม่ในปี 2518 ยังไม่ได้ตัดจนบัดนี้ โจทก์จะเรียกต้นทุนค่าเสียหายกำไรรวม 127,405 บาท และกำไรในอนาคตอีก 40,000 บาทไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งไม่แน่นอน สัญญาร่วมทุนปลูกอ้อยสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2518 มิใช่ พ.ศ. 2519 ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยผิดสัญญาตัดอ้อยขายโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ แต่การทำไร่อ้อยปีแรกไม่มีผลกำไร ปีต่อมาก็เป็นผลในอนาคตไม่แน่นอนพิพากษาให้จำเลยคืนต้นทุนและชำระค่าปรับรวม 87,405 บาทให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เอาเบี้ยปรับแล้วจะเรียกให้ชำระหนี้อีกไม่ได้คงพิสูจน์ได้แต่ความเสียหายที่มีมากกว่า และฟังว่าค่าเสียหายน้อยกว่าเบี้ยปรับจึงให้ลดเบี้ยปรับลงเท่าค่าเสียหาย พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์รวม 71,160 บาท 50 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ฎีกาว่าส่วนแบ่งจากการขายอ้อย 3 ปีมิใช่ค่าเสียหายแต่เป็นเงินของหุ้นส่วนซึ่งจะต้องแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลยคนละครึ่งเมื่อเลิกหุ้นส่วน จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงต้องเสียเบี้ยปรับให้โจทก์อีก 56,000 บาท นอกเหนือจากเงินทุนและส่วนแบ่งผลกำไร
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาร่วมทุนการปลูกอ้อยซึ่งโจทก์เป็นผู้ออกเงินทุนค่าใช้จ่ายในการปลูกอ้อย จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน และตกลงให้อ้อยที่ปลูกเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน 3 ปี แต่จำเลยยอมให้โจทก์เป็นผู้ตัดอ้อยขายโรงงานแต่ผู้เดียวเงินขายอ้อยหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการตัดอ้อยแล้วให้ใช้คืนทุนที่โจทก์ออกไปก่อนจนกว่าจะครบ ถ้ามีเงินเหลือจากนั้นจึงจะนำไปแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลยคนละครึ่งนั้น ไม่ใช่สัญญาจัดตั้งหุ้นส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์นั้น ไม่ใช่ให้คืนทุนทรัพย์และกำไร แต่เป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเต็มจำนวนที่โจทก์เสียหายแล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยเสียเบี้ยปรับให้โจทก์อีกไม่ได้ เพราะเป็นการเรียกร้องที่นอกเหนือไปจากความเสียหายที่โจทก์ได้รับขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380
พิพากษายืน