คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1164/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กรรมรวมจำคุกจำเลยที่ 1, ที่2 และที่ 3 คนละ 5 ปี และปรับคนละ 1,000 บาท ลงโทษปรับจำเลยที่ 4 เป็นเงิน 11,000 บาท ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงิน 1,997,400 บาท แก่ผู้เสียหายศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสี่ใช้เงินแก่ผู้เสียหายเพียง 1,985,400 บาท เป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ที่จำเลยฎีกาว่าไม่มีพยานโจทก์ยืนยันถึงการกระทำผิดของจำเลยนั้นเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อหนึ่งของจำเลยเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยอุทธรณ์ในข้อดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7,27 มิใช่มาตรา 7,28 ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี เพราะโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 7,28 ทั้งมาตรา 27 และ 28 ต่างก็เป็นบทลงโทษของมาตรา 7 ซึ่งกำหนดโทษไว้เท่ากัน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและจัดหางานโดยเรียกและรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341, 343 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 28 ให้จำเลยร่วมกันคืนเงินจำนวน 1,997,400 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353, 83 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 28 ฐานฉ้อโกงประชาชนจำคุกจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 คนละ 5 ปี ปรับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนิติบุคคล 10,000บาท ฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตปรับคนละ 1,000 บาท ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงินจำนวน 1,997,400 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันคืนเงินจำนวน1,985,400 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กรรมรวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 คนละ 5 ปี และปรับคนละ 1,000 บาท ลงโทษปรับจำเลยที่ 4 เป็นเงิน 11,000 บาท ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงิน 1,997,400 บาทแก่ผู้เสียหาย และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ใช้เงินแก่ผู้เสียหายเพียง1,985,400 บาท อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโดยฎีกาข้อ 2อ้างว่าในวันสืบพยานจำเลยไม่มีทนายมาศาลจึงขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่ง และศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นสำคัญดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าฎีกาของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวได้กล่าวอ้างเข้ามาลอยๆ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้แต่อย่างใดจึงไม่รับวินิจฉัยให้ และที่ฎีกาว่าข้อวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองเหมาเอาตามที่ผู้เสียหายยืนยันว่า จำเลยที่ 3 เป็นพนักงานของบริษัท จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดก็ดี ฎีกาข้อ 3 ที่ว่าไม่มีพยานโจทก์ยืนยันถึงการกระทำผิดของจำเลยที่ 3 ก็ดี ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ส่วนฎีกาในข้อ 4 ที่ว่า การกระทำของจำเลยอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511มาตรา 7, 27 ไม่ใช่มาตรา 7, 28 ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยนั้น แม้ปัญหาข้อนี้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีเพราะโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 7, 28และบทลงโทษทั้งมาตรา 27 และ 28 ต่างก็เป็นบทลงโทษของมาตรา 7ซึ่งได้กำหนดโทษไว้เท่ากัน ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 3 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 3.

Share