คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะเพิ่งปลูกบ้านในที่ดินโฉนดเลขที่ 58 เมื่อปลายปี2519 ซึ่งเชื่อได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองเดินออกสู่ถนนทางสาธารณะตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งจำเลยปิดกั้นทางเดินพิพาทเมื่อเดือนเมษายน 2528 รวมเวลาที่โจทก์ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองไม่ถึง 10 ปี ก็ตาม แต่โจทก์ก็รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 58มาจาก ฟ.ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมมาตั้งแต่ปี2515ซึ่งฟ.และครอบครัวได้ใช้ทางเดินพิพาทเดินออกถนนสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2515ตลอดมา การใช้ทางเดินพิพาทของ ฟ. และครอบครัวก่อนที่โจทก์จะเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินจึงเป็นการใช้แทนโจทก์ เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่ ฟ. และครอบครัวใช้ทางเดินพิพาทแทนโจทก์ ในปี2515 ตลอดมาจนกระทั่งโจทก์ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองในปี2519 ต่อ ๆ มาจนจำเลยปิดกั้นทางเดินพิพาทเมื่อเดือนเมษายน2528 ก็เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทางเดินพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 58 ของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 58 จำเลยทั้งห้าเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่74 ที่ดินจำเลยอยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออก โจทก์และประชาชนที่อยู่อาศัยใกล้กับที่ดินดังกล่าว ได้ใช้ทางเดินกว้างประมาณ 1.50 เมตร ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 74 ของจำเลย ออกสู่ถนนสาธารณะตั้งแต่ครั้งที่นายทบ พูนผล บิดาจำเลยยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งที่ดินตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งห้าโดยสงบเปิดเผยรวมเป็นระยะเวลาติดต่อกันประมาณ 14 ปีแล้ว จึงได้สิทธิภารจำยอมในการใช้ทางเดินผ่านที่ดินของจำเลย เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2529จำเลยกับพวกได้ร่วมกันขุดร่องน้ำกว้างประมาณ 1 วา ลึก 1 วาตัดทางเดิน นอกจากนี้จำเลยยังได้ร่วมกันปักหลักไม้กั้นทางออกสู่ถนนสาธารณะเหลือช่องทางเดินไว้ 1 ศอกเศษ และปลูกไม้ยืนต้นและไม้ล้มลุกบนทางเดิน ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องรูปสีเขียว เป็นทางภารจำยอม ห้ามจำเลยและบริวารปิดกั้นหรือกระทำการใดอันเป็นเหตุให้สัญจรไปมาไม่ได้ ให้จำเลยกลบร่องน้ำตามแผนที่สังเขปรูปสีแดงให้อยู่ในสภาพเดิม และรื้อถอนรั้วไม้และต้นไม้ที่ปลูกบนทางพิพาทออกไปให้หมดสิ้น และให้จดทะเบียนสิทธิภารจำยอมในที่ดินของจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ที่ 5 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 74 ร่วมกับจำเลยที่ 4โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 58 โจทก์หรือประชาชนไม่เคยใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งในที่ดินของจำเลยเป็นทางเดินผ่านออกสู่ถนนสาธารณะโจทก์ได้ใช้ที่ดินบางส่วนของนายฟ้อน นางนพเก้า ออกสู่ถนนสาธารณะเมื่อประมาณ 3 ปี ก่อนวันฟ้องมีเหตุโกรธเคืองกัน นายฟ้อนนางนพเก้า จึงทำรั้วปิดกั้นตลอดแนวเขตที่ดิน โจทก์ไม่มีทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะได้ โจทก์ได้ขออาศัยเดินผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ถนนสาธารณะเป็นทางเดินกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร ยาวประมาณ20 วา จำเลยได้ทำรั้วไม้ไผ่ตามแนวด้านติดถนนสาธารณะเพื่อป้องกันบุคคลภายนอกมิให้เข้ามาในที่ดินจำเลย แต่เว้นช่องไว้ให้โจทก์เดินผ่านออกได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าเปิดทางภารจำยอมในที่ดินของจำเลยทั้งห้าตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 ตามแนวเส้นสีม่วง กว้างประมาณ 1.50 เมตร ตลอดแนว ให้จำเลยกลบร่องน้ำและรื้อถอนรั้วและต้นไม้ออกจากทางพิพาท ให้จำเลยไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 58 หมู่ที่ 3 ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ร่วมกับนางสำรวย ภรรยาโจทก์ ปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 โจทก์และภรรยาปลูกบ้านอยู่ในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 74 หมู่ 3 ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 ที่ดินของโจทก์และจำเลยทั้งห้าอยู่ติดต่อกัน ทางเดินพิพาทในคดีนี้ปรากฏตามบริเวณเส้นสีม่วงในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าโจทก์ใช้ทางเดินพิพาทจนทางเดินพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์และชาวบ้านได้ใช้ทางเดินพิพาทเดินออกสู่ถนนสาธารณะ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยนั้น นอกจากโจทก์จะเบิกความยืนยันเช่นนั้นแล้ว นายทองหล่อ หรือหล่อ เดชบุญ พยานโจทก์ก็เบิกความสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวนายทองหล่อหรือหล่อนี้ นอกจากจะเกิดและอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลบางพูนตลอดมาและมีบ้านอยู่ใกล้ทางเดินพิพาทห่างเพียง 10 วา ซึ่งย่อมมีโอกาสรู้เห็นว่าใครใช้ทางเดินพิพาทเดินออกสู่ถนนสาธารณะบ้างแล้ว ยังเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ตำบลบางพูน มาถึง 10 ปี และไม่ปรากฏมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งห้า จึงไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย คำเบิกความของนายทองหล่อจึงมีน้ำหนักน่ารับฟัง นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายถวิล เพิ่มลาภ นายบุญส่ง พูนผลซึ่งมีบ้านพักอาศัยอยู่คนละฝั่งคลองกับโจทก์จำเลย เบิกความสอดคล้องกันว่าการเดินทางออกถนนสาธารณะต้องพายเรือข้ามคลองมาจอดที่บริเวณหน้าบ้านโจทก์แล้วเดินตามทางเดินพิพาทไปออกถนนสาธารณะสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์และนายทองหล่อหรือหล่อที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ไม่เคยเดินผ่านที่ดินจำเลย โดยเมื่อจะออกถนนสาธารณะ โจทก์เดินผ่านที่ดินนางนพเก้า กับที่นำสืบว่าชาวบ้านที่อยู่คนละฝั่งคลองกับโจทก์จำเลยเมื่อจะออกถนนสาธารณะจะจอดเรือที่บ้านนายทองหล่อหรือหล่อแล้วเดินผ่านที่นางนพเก้าหรือนายทองหล่อหรือหล่อออกถนนสาธารณะนั้น ก็ขัดกับคำเบิกความของนางนพเก้า นิยมมาก พยานจำเลยที่เบิกความว่า ที่ดินจำเลยเส้นสีม่วงในแผนที่พิพาทเป็นคันสวนเป็นทางเดินประมาณ 1 วาเศษเคยเห็นโจทก์เดินตามเส้นสีม่วงออกสู่ถนนสาธารณะประมาณ 7-8 ปีชาวบ้านที่อยู่คนละฝั่งคลองจะออกถนนสาธารณะต้องนำเรือมาจอดที่หน้าบ้านโจทก์ และขัดกับที่นายชะโอด ผู้มีบุญ พยานจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นายชะโอดและชาวบ้านเคยเดินในทางเดินพิพาทมา 10 กว่าปีเป็นการเจือสมข้อนำสืบของโจทก์ข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่น่ารับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และชาวบ้านได้ใช้ทางเดินพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะ ปัญหาต่อไปมีว่าโจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทเดินออกสู่ถนนสาธารณะจนทางเดินพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าว ได้ความจากนายทองหล่อและนายบุญส่งว่าพยานและชาวบ้านใช้ทางเดินพิพาทเดินออกถนนสาธารณะมา 10 กว่าปีแล้ว ตรงกับที่นายชะโอดพยานจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นายชะโอด และชาวบ้านเคยเดินในทางเดินพิพาทมา 10 กว่าปีแล้วและได้ความจากนายบุญส่งต่อไปว่าถนนสาธารณะสร้างเมื่อปี 2515 เช่นนี้เชื่อได้ว่าทางเดินพิพาทถูกใช้เป็นทางเดินออกถนนสาธารณะตั้งแต่ปี 2515 นั่นเอง กับได้ความจากนายประยงค์ กลิ่นขจร พยานโจทก์ซึ่งเป็นบุตรนายฟุ้ง กลิ่นขจรเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 58 คนเดิมก่อนจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์และนางสำรวยบุตรสาวนายฟุ้งว่า นายประยงค์เกิดและอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 58 ตลอดมาจนกระทั่งย้ายไปอยู่ฝั่งคลองตรงกันข้าม ระหว่างที่อยู่กับนายฟุ้ง ครอบครัวของนายประยงค์ได้เดินตามทางเดินพิพาทออกถนนสาธารณะเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นซึ่งนายประยงค์กับนายฟุ้งบิดาก็คงจะใช้ทางเดินพิพาทเดินออกสู่ถนนสาธารณะตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมาเช่นกัน ดังนั้น แม้โจทก์จะเพิ่งปลูกบ้านในที่ดินโฉนดเลขที่ 58 เมื่อปลายปี 2519 ซึ่งเชื่อได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองเดินออกสู่ถนนทางสาธารณะตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งจำเลยปิดกั้นทางเดินพิพาทเมื่อเดือนเมษายน2528 รวมเวลาที่โจทก์ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองไม่ถึง 10 ปีก็ตามแต่โจทก์ก็รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 58 มาจากนายฟุ้งผู้เป็นเจ้าของเดิมมาตั้งแต่ปี 2515 ดังปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งนายฟุ้งและครอบครัวได้ใช้ทางเดินพิพาทเดินออกถนนสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2515 ตลอดมา การใช้ทางเดินพิพาทของนายฟุ้งและครอบครัวก่อนที่โจทก์จะเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินจึงเป็นการใช้แทนโจทก์เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่นายฟุ้งและครอบครัวใช้ทางเดินพิพาทแทนโจทก์ในปี 2515 ตลอดมาจนกระทั่งโจทก์ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองในปี 2519 ต่อ ๆ มาจนจำเลยปิดกั้นทางเดินพิพาทเมื่อเดือนเมษายน 2528 ก็เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทางเดินพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 58 ของโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share