แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้จอบยาวประมาณ 1 เมตรเศษ เป็นจอบขนาดใหญ่ตีทำร้ายผู้ตายที่บริเวณศีรษะถึง 2 ถึง 3 ครั้งในขณะที่ผู้ตายนอนนิ่งอยู่ ซึ่งจำเลยมีโอกาสที่จะเลือกตีผู้ตายที่ใดก็ได้แต่จำเลยกลับเลือกตีทำร้ายผู้ตายที่บริเวณศีรษะอันเป็นอวัยวะสำคัญถึงขนาดกะโหลกศีรษะผู้ตายแตกและบางส่วนหลุดหายไป ทั้งบาดแผลลึกถึงสมองเนื้อสมองหายไปอันแสดงว่าจำเลยตีทำร้ายอย่างรุนแรง จำเลยย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำของจำเลยได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ แม้มูลเหตุที่จำเลยไม่พอใจผู้ตายจะไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยจะต้องฆ่าผู้ตายก็ตาม ก็ต้องถือว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม้ฟืนของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด จึงไม่รับและพิพากษาให้ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ โจทก์หาได้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ริบไม้ฟืนของกลางไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ให้จำคุกตลอดชีวิต คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก จำเลยมีอายุไม่เกินยี่สิบปี ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 76 จำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้ใช้ไม้ฟืนของกลางยาวประมาณ 1 เมตร และจอบของกลางยาวประมาณ 1.50 เมตร ตีทำร้ายผู้ตายหลายครั้งจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย บาดแผลผู้ตายปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยใช้ไม้ฟืนของกลางและจอบของกลางตีทำร้ายผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายแพทย์วรพลพยานโจทก์ผู้ชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ซึ่งเบิกความประกอบรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องว่า ได้ตรวจบาดแผลของผู้ตาย พบบาดแผลที่ศีรษะด้านหลังข้างซ้ายมีรอยฉีกขาด ยาว 12 เซนติเมตร กว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ลึกถึงสมอง เนื้อสมองหายไปบางส่วน กะโหลกศีรษะแตกและบางส่วนหายไป บาดแผลฟกช้ำที่สีข้างด้านซ้ายและกกหูด้านซ้าย ศีรษะด้านหน้าข้างขวา บาดแผลดังกล่าวเกิดจากโดนกระแทกจากของแข็งอย่างแรง ยังได้ความตามคำเบิกความของนางหนูแจ๋ว ช่างเหล็ก พยานโจทก์เจ้าของบ้านเกิดเหตุว่าได้ยินเสียงตีดังตุบ ๆ ที่บริเวณหน้าบ้านเกิดเหตุประมาณ 2 ถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงร้อง ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาว่าจำเลยได้ใช้ไม้ฟืนของกลางที่ถือติดมือตีที่ศีรษะของผู้ตายจนไม้ฟืนหลุดมือ จำเลยและผู้ตายเข้ากอดปล้ำและล้มลง จำเลยลุกขึ้นได้ก่อน จำเลยใช้เท้าเตะผู้ตายที่หน้า ผู้ตายนอนคว่ำเงียบไป จำเลยได้ใช้จอบซึ่งพบที่บริเวณหน้าบ้านเกิดเหตุตีที่ศีรษะผู้ตายโดยใช้สันจอบตีขณะผู้ตายยังนอนคว่ำเงียบอยู่ประมาณ 2 ถึง 3 ครั้ง จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ตามคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนมีรายละเอียดต่าง ๆ อันเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์และบาดแผลของผู้ตายซึ่งยากที่พนักงานสอบสวนจะแต่งขึ้นเองโดยที่มิได้มาจากปากคำของจำเลย ทั้งจำเลยก็ให้การโดยไม่มีโอกาสได้ปรุงแต่งเรื่องราวเพื่อให้เป็นคุณแก่จำลย เชื่อได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจไปตามเหตุการณ์ที่เกิด การที่จำเลยใช้จอบของกลางยาวประมาณ 1.50 เมตร ตามที่ปรากฏในภาพถ่ายของกลาง ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นจอบขนาดใหญ่ตีทำร้ายผู้ตายที่บริเวณศีรษะถึง 2 ถึง 3 ครั้งในขณะที่ผู้ตายนอนนิ่งอยู่ ซึ่งจำเลยมีโอกาสที่จะเลือกตีผู้ตายที่ใดก็ได้ แต่จำเลยกลับเลือกตีทำร้ายผู้ตายที่บริเวณศีรษะอันเป็นอวัยวะสำคัญถึงขนาดกะโหลกศีรษะผู้ตายแตกและบางส่วนหลุดหายไป ทั้งบาดแผลลึกถึงสมอง เนื้อสมองหายไปอันแสดงว่าจำเลยตีทำร้ายอย่างรุนแรง จำเลยย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำของจำเลยได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ แม้มูลเหตุที่จำเลยไม่พอใจผู้ตายจะไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยจะต้องฆ่าผู้ตายก็ตาม ก็ต้องถือว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า ไม้ฟืนของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดสมควรที่จะริบ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้สั่งริบ จึงขอให้ศาลฎีการิบไม้ฟืนของกลางนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ไม้ฟืนของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงไม่ริบและพิพากษาให้ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ โจทก์หาได้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ริบไม้ฟืนของกลางไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 วางโทษจำคุก 20 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.