คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลำห้วยซึ่งตื้นเขินใช้เป็นทางสัญจรไม่ได้ ไม่ถือว่าเป็นทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349
โจทก์จำเลยรับกันว่าที่ดินของโจทก์อยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ นอกจากทางเหนือที่ดินโจทก์ที่จดลำห้วย ซึ่งปัจจุบันนี้ตื้นเขินใช้เป็นทางสัญจรไม่ได้แล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ เพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดิน 1 แปลง ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่โดยรอบจนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ทางสาธารณะที่ใกล้ที่สุดคือทางทิศใต้ติดที่ดินจำเลย โจทก์ใช้เป็นทางเดินและใช้รถยนต์บรรทุกสินค้าผ่านที่ดินจำเลยออกไปสู่ทางสาธารณะมาเป็นเวลา 6 ปีเศษจำเลยได้ไถทางเดินดังกล่าวและปักเสากั้นปิดทางเดินที่โจทก์ใช้สัญจรเข้าออก ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางดังกล่าวและให้จำเลยรับเงินค่าทดแทน 330 บาท และให้จดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานอำเภอท่าม่วงให้โจทก์ใช้ทางตามแผนที่ท้ายฟ้องเส้นสีแดงด้วย

จำเลยให้การว่า ที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องไม่เคยเป็นทางเดินหรือทางจำเป็นดังโจทก์ฟ้อง โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินของโจทก์มา 10 กว่าปีแล้ว ใช้ทางเดินไปสู่ทางสาธารณะด้านทิศเหนือโดยผ่านที่ดินนายเนตรตลอดมา ขณะนั้นที่ดินที่โจทก์ว่าเป็นทางจำเป็นยังรกเดินไม่ได้ ต่อมาทางราชการตัดถนนสาธารณะใหม่ติดที่ดินจำเลย โจทก์ต้องการออกสู่ทางสาธารณะที่ตัดใหม่ โจทก์ในฐานะเป็นน้องสามีจำเลยโดยอัธยาศัยจึงเดินลัดออกทางถนนตัดใหม่ จำเลยไถที่และล้อมรั้วในแนวเขตที่ดินจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต หากจะพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิผ่านได้ก็ต้องชดใช้ค่าทดแทนให้จำเลยจนเป็นที่พอใจ

ก่อนสืบพยานศาลสั่งเจ้าพนักงานศาลไปทำแผนที่ศาล วันนัดตรวจดูแผนที่พิพาทคู่ความรับกันว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะเว้นแต่ทางด้านทิศเหนือซึ่งจดลำห้วยนาคราชทางออกสู่ทางสาธารณะนอกจากออกทางลำห้วยนาคราชแล้ว ทางออกที่ใกล้ที่สุดคือทางภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท คู่ความรับกันอีกว่าเดิมลำห้วยนาคราชเป็นลำแม่น้ำ แต่ขณะนี้ตื้นเขินสิ้นสภาพจากเป็นแม่น้ำแล้ว ไม่มีผู้ใดใช้เป็นทางสัญจรไปมาหากโจทก์ใช้ที่พิพาทออกสู่ทางสาธารณะ ค่าทดแทนที่โจทก์จะพึงชดใช้ให้จำเลยเป็นเงินจำนวน 2,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน และพิพากษาว่าที่ดินของจำเลยภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท เป็นทางจำเป็นให้จำเลยเปิดให้โจทก์ผ่านจากที่ดินโจทก์สู่ทางสาธารณะ และให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่โจทก์ หากไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ทั้งนี้ เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่าทดแทนจำนวน 2,000 บาทแก่จำเลยแล้ว

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในการทำแผนที่พิพาท จำเลยชี้ว่าแนวทางเดิมที่โจทก์อาศัยออกสู่ทางสาธารณะ คือ แนวตามเส้นประสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ ซึ่งบัดนี้ไม่เป็นทางเดิน จำเลยหาได้ชี้ทางไปสู่ทางสาธารณะด้านทิศเหนือโดยผ่านที่ดินนายเนตรดังที่ให้การต่อสู้ไว้ไม่ วันนัดตรวจดูแผนที่พิพาท ศาลสอบถามคู่ความจำเลยก็มิได้แถลงว่าโจทก์มีทางไปสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินของนายเนตรอีก ถือได้ว่าข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นประเด็นในคดีอีกแล้ว และคู่ความก็รับกันแล้วว่าที่ดินโจทก์อยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ สำหรับด้านเหนือที่ดินโจทก์แม้จะจดลำห้วยนาคราช แต่ปัจจุบัน ตื้นเขินใช้เป็นทางสัญจรไม่ได้ ถือไม่ได้ว่าลำห้วยดังกล่าวเป็นทางสาธารณะ โจทก์มีความจำเป็นจะต้องผ่านตรงที่พิพาทออกสู่ทางสาธารณะไม่จำเป็นจะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share