แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คดีนี้โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์ ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่โจทก์เคยฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกับ ญ.บุกรุกในคดีก่อน แต่คดีก่อนนั้นศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยทั้งสองใหม่ภายในกำหนดอายุความดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ได้ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) ฟ้องของโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่า เมื่อ พ.ศ. 2504 โจทก์ซื้อที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 204เนื้อที่ 250 ไร่ จากการขายทอดตลาดของศาลจังหวัดนครราชสีมา ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2512 จำเลยทั้งสองได้สมคบกับนายใหญ่บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ เฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 บุกรุกเข้าทำในบริเวณพื้นที่หมายอักษร ก. นายใหญ่บุกรุกเข้าทำในบริเวณพื้นที่หมายอักษร ข. ปรากฏตามแผนที่ท้ายฟ้อง โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและนายใหญ่ คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาขับไล่นายใหญ่ออกจากที่ดินของโจทก์และชดใช้ค่าเสียหาย ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 เข้ามาใหม่ภายในอายุความโจทก์ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2520 จึงเสนอคำฟ้องขึ้นมาใหม่เป็นคดีนี้ ที่ดินที่จำเลยทั้งสองบุกรุก เนื้อที่ประมาณ 65 ไร่ ราคาไร่ละ 500 บาทรวมเป็นราคาที่ดิน 32,500 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายเพราะทำนาไม่ได้ ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากที่ดินหมายอักษร ก.ตามแผนที่ท้ายคำฟ้อง ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 41,600 บาทแก่โจทก์ กับค่าเสียหายอีกปีละ 5,200 บาท นับแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองกับบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกับพวกทำละเมิด บุกรุกที่ดิน ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 406/2513 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา คดีดังกล่าวนี้ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ ตามฟ้องของโจทก์ในคดีดังกล่าวได้บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อไว้จากการขายทอดตลาดนั้นมีอาณาเขตทิศเหนือยาว 25 เส้น จดนานายป้อม นายเที่ยง นายมูล ทิศใต้ยาว 25 เส้น จดนานายปานทิศตะวันออกกว้าง 10 เส้น จดคลองซอย 3 ทิศตะวันตกกว้าง 10 เส้น จดนานายปาน แต่โจทก์นำเจ้าพนักงานศาลรังวัดกลับกันเอาด้านกว้างเป็นด้านยาวจึงทับที่ดินของจำเลยไป 65 ไร่ จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ คดีของโจทก์ขาดอายุความ
เมื่อสืบพยานโจทก์ได้ 1 ปากคือตัวโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย นัดฟังคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 406/2513 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ พยานจำเลยให้เสร็จสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมโจทก์ซื้อที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 204 ของนายเที่ยงหรือบุญเที่ยงอยู่ที่ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ได้จากการขายทอดตลาดของศาลจังหวัดนครราชสีมา ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องนายพิพัฒน์นายฉลอง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในคดีนี้ และนายใหญ่เป็นจำเลย เรื่องละเมิด บุกรุกที่ดินคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับที่ดินแปลงล่างที่โจทก์กล่าวหาว่านายพิพัฒน์บุกรุกที่ดินของโจทก์ตาม ส.ค.1 เลขที่ 204 นั้นว่าเป็นที่ดินอยู่นอกเหนือจากคำฟ้องของโจทก์พิพากษายกฟ้องเฉพาะนายพิพัฒน์และนายฉลองจำเลยทั้งสอง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ รายละเอียดปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 406/2513 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา โจทก์จึงได้ยื่นฟ้องนายพิพัฒน์และนายฉลองเป็นจำเลยในคดีนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ตามฟ้องคดีนี้โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์ตาม ส.ค.1 เลขที่ 204 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่โจทก์เคยฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกในคดีเรื่องก่อน คือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 406/2513แต่คดีเรื่องก่อนดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยทั้งสองใหม่ภายในอายุความ ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ได้ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) ฟ้องของโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
พิพากษายืน