แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฝ่ายโจทก์และจำเลยต่างแย่งเพื่อเข้าอยู่ห้องรายพิพาทโดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่า ได้ทำสัญญามาจากผู้มีอำนาจให้เช่าจนคดีถึงฟ้องร้องกันในศาล ยังไม่ทราบว่าใครจะมีสิทธิดีกว่ากัน ตามรูปคดีมีเหตุผลทำให้จำเลยเข้าใจว่าฝ่ายจำเลยมีสิทธิในห้องพิพาทที่จะเอาคืนจาก โจทก์ จำเลยจึงปิดประตูหน้าห้องหลังห้องพิพาท เพื่อไม่ให้โจทก์เข้าอยู่ ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการบังอาจ อันจะเป็นความผิดทางอาญาฐานบุกรุก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันบุกรุกเข้าไปในตึก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโจทก์ และบังอาจรื้อฝากั้นตึกชำรุกเสียหาย จึงขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้ง ๔ มีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๒๔,๓๒๗,๓๒๙ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๘ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒-๓-๔ คนละ ๔ เดือน ปรับคนละ ๕๐๐ บาท โทษจำคุกจำเลยที่ ๒-๓-๔ ให้รอการลงอาญาไว้
จำเลยทั้ง ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้ง ๔ ผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา ๓๒๔ เท่านั้น ให้ปรับคนละ ๑๐๐ บาท
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก แต่จำเลยที่ ๒-๓-๔ ยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ชั้นฎีกาคงมีปัญหาเฉพาะจำเลยที่ ๑ คนเดียว
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยแย่งเพื่อเข้าอยู่ห้องรายพิพาทแห่งเดียวกัน โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าได้สัญญามาจากผู้มีอำนาจให้เช่า กล่าวคือโจทก์อ้างว่าเช่ามาจากกรมการศาสนา ผู้แทนของวัด ฝ่ายนายคงจำเลยที่ ๒ อ้างว่าได้เช่ามาจากบิดามารดาจำเลยที่ ๑ ซึ่งยังมีสิทธิให้เช่าอยู่ จนคดีถึงฟ้องร้องกันในศาล ยังไม่ทราบว่าใครมีสิทธิดีกว่ากัน ตามรูปคดีมีเหตุผลทำให้จำเลยเข้าใจว่า จำเลยที่๒ มีสิทธิในห้องรายพิพาทที่จะเอาคืนมาจากโจทก์ จำเลยถึงปิดประตูหน้าห้อง หลัง/ห้อง เพื่อไม่ให้โจทก์เข้าอยู่ เพราะจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่าไว้ได้โดยโจทก์ถูกศาลสั่งให้ขับไล่ออกจากห้องรายพิพาทในคดีที่บิดมารดาจำเลยที่ ๑ ฟ้อง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการบังอาจอันจะเป็นผิดทางอาญา ฐานบุกรุก การที่จำเลยที่ ๑ ได้ช่วยเหลือจำเลยที่ ๒ กระทำการนี้ด้วยจึงไม่เป็นความผิดดุจกัน
จึงพิพากษายืน