คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1156/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทายาทของลูกหนี้ชำระดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหนี้ภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกหนี้ตาย ถือได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้
เมื่อมีการรับสภาพหนี้ อายุความสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ซึ่งมิให้เจ้าหนี้ฟ้องเมื่อพ้น 1 ปีนับแต่ความตายของเจ้ามรดกก็สดุดหยุดลง อายุความสำหรับสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้จึงต้องตั้งต้นนับใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้หากเป็นมูลหนี้เงินกู้ก็มีอายุความ 10 ปี (อ้างฎีกาที่ 1887/2506)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกจากผู้กู้ โดยอ้างว่าจำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ 1 ปี ในปีที่ผู้กู้ตายและรับรองว่าจะชำระหนี้แทน แต่จำเลยไม่ชำระและค้างดอกเบี้ยรวม 8 ปี โจทก์คิดเอาเพียง 5 ปี ขอให้บังคับ

จำเลยต่อสู้ว่า ไม่เคยชำระดอกเบี้ยและรับรองว่าจะชำระหนี้โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่ผู้กู้ตาย คดีขาดอายุความ

วันชี้สองสถานคู่ความรับกันว่า โจทก์ทราบการตายของผู้กู้นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 8 ปีแล้ว และโจทก์รับว่าที่จำเลยตกลงจะชำระหนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทของลูกหนี้เมื่อพ้น 1 ปีนับแต่ได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกคดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยตกลงใช้หนี้ ก็ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ บังคับจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 พิพากษายกฟ้องให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย 200 บาทแทนจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จำเลยรับรองว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้ เพราะมิได้ทำเป็นหนังสือ แต่ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยชำระดอกเบี้ย แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็เป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง แต่อายุความในคดีนี้เป็นอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้มีต่อเจ้ามรดกตามมาตรา 1754 วรรค 3 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงให้เริ่มต้นนับ 1 ใหม่ตามมาตรา 181 ย่อมมีอายุความเท่ากับอายุความที่สะดุดหยุดลง ซึ่งมีอายุความ 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว แต่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายสูงเกินไป พิพากษาแก้ให้โจทก์ใช้ค่าทนายในศาลชั้นต้นแก่จำเลย 100 บาท

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่า ถ้ามีการชำระดอกเบี้ยให้โจทก์จริง ก็คือได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 แต่ข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะเมื่อจำเลยรับสภาพหนี้แล้ว อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ที่มิให้เจ้าหนี้ฟ้องเมื่อพ้น 1 ปี นับแต่ความตายของเจ้ามรดกนั้น ก็สะดุดหยุดลง อายุความสำหรับสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้จึงต้องตั้งต้นนับใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้ มูลหนี้ในคดีนี้คือมูลหนี้เงินกู้มีอายุความ 10 ปี ศาลฎีกาได้พิพากษาเป็นแบบอย่างไว้แล้วตามฎีกาที่ 1887/2506 คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ แต่เนื่องด้วยศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานซึ่งคู่ความยังโต้เถียงข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยได้เคยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์จริงหรือไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป

พิพากษายกคำพิพากษาสองศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

Share