คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 ว่าด้วยวิธีการอย่างอื่นแทนการขายทอดตลาดเป็นบทบัญญัติคุ้มครองผลประโยชน์และส่วนได้เสียของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นบังคับคดี ซึ่งทำให้อาจปลดเปลื้องหนี้สินตามคำพิพากษาได้ โดยไม่ต้องมีการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้และจะไม่เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หากรายได้จากอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการของลูกหนี้เมื่อคำนวณประจำปีแล้วอาจเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ซึ่งเมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอศาลอาจมีคำสั่งตั้งผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการเหล่านั้นและบังคับให้มอบรายได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในเวลาและกำหนดตามที่ศาลเห็นสมควรแทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หาใช่ให้ผ่อนชำระเป็นรายปีแล้วแต่ลูกหนี้จะผ่อนชำระได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามมูลหนี้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ค้ำประกัน และจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย และค่าฤชาธรรมเนียม หากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองออกชายทอดตลาดนำเงินมาชำระ ได้เงินไม่พอให้จำเลยทั้งสองชำระจนครบจำเลยทั้งสองไม่ชำระ จึงถูกบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2ออกขายทอดตลาด
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีจากอสังหาริมทรัพย์ในการประกอบอุตสาหกรรมพาณิชยกรรมเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยค่าฤชาธรรมเนียม ขอให้ตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการทรัพย์แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินตามคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ประกอบกิจการใด ๆ ในทรัพย์ที่ถูกยึด และไม่มีความสามารถที่จะจัดการทรัพย์สิน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 307 บัญญัติว่า…เห็นว่า มาตรานี้ว่าด้วยวิธีการอย่างอื่นแทนการขายทอดตลาด เป็นบทบัญญัติคุ้มครองผลประโยชน์และส่วนได้เสียของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นบังคับคดี ซึ่งทำให้อาจปลดเปลื้องหนี้สินตามคำพิพากษาได้ โดยไม่ต้องมีการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้และจะไม่เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หากรายได้จากอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการของลูกหนี้เมื่อคำนวณประจำปีแล้วอาจเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ซึ่งเมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอศาลอาจมีคำสั่งตั้งผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการเหล่านั้นและบังคับให้มอบรายได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในเวลาและกำหนดตามที่ศาลเห็นสมควรแทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ความหมายแห่งบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 นี้ ให้ใช้รายได้1 ปี มาชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามคำพิพากษา หาใช่ให้ผ่อนชำระเป็นรายปีแล้วแต่ลูกหนี้จะผ่อนชำระได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าชอบแล้วส่วนบทบัญญัติที่ว่า ให้มอบรายได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในเวลาและกำหนดตามที่ศาลเห็นสมควรนั้นมีความหมายว่า เมื่อคำนวณรายได้ประจำปีของลูกหนี้ใน 1 ปีแล้วมีจำนวนเพียงพอชำระหนี้ได้ ศาลก็อาจสั่งให้มอบเงินรายได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนใน 1 ปีนั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีตามเวลาและวิธีการที่ศาลกำหนดเท่านั้น หาใช่ให้ลูกหนี้ผ่อนชำระเป็นรายปีตามความพอใจของตนเองได้ไม่ เพราะบทบัญญัติมาตรานี้มิใช่เรื่องลูกหนี้ขอให้ศาลตั้งผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการเพื่อยอมความกับเจ้าหนี้ แต่เป็นเรื่องที่ศาลจะใช้ดุลพินิจคุ้มครองผลประโยชน์ของลูกหนี้และเจ้าหนี้ มิให้เกิดความเสียหายในชั้นบังคับคดี ในกรณีที่ลูกหนี้ยังสามารถชำระหนี้ได้ โดยมีรายได้ประจำปีจากอสังหาริมทรัพย์ หรือการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมหรือกสิกรรม..ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share