แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อ้างเอกสารสัญญาเช่าเป็นพยานโดยไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันสืบพยาน 3 วัน แต่จำเลยดูแล้วรับรองเอกสารนั้น ศาลก็รับวินิจฉัยได้ จำเลยจะยกเหตุนี้มาคัดค้านไม่ได้
ย่อยาว
คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องกล่าวความว่าเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2496 โจทก์ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 6653 ตำบลคลองเตย (หรือคลองตัน) อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร จากนางปรุงใจ ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินท้ายฟ้อง ปรากฏว่าจำเลยได้เช่าอยู่ในที่ดินแปลงนี้บางส่วนประมาณ 200 ตารางวาเศษ ประกอบการอุตสาหกรรมทำโรงงานฟอกหนัง มีอัตราค่าเช่าปีละ 400 บาท โจทก์ได้บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยหลายครั้ง และให้จำเลยรื้อถอนโรงงานออกไปจากที่ดินของโจทก์ และไม่ได้เก็บค่าเช่าจากจำเลยต่อไป จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินรายนี้ ต่อมาโจทก์ได้ให้ทนายความบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไป ตามหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 2 กันยายน 2498 ครั้นวันที่ 26 กันยายน 2498 จำเลยมาติดต่อกับทนายความของโจทก์ยินยอมที่จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปแต่ขอคิคค่าทดแทนในการรื้อถอน และวันที่ 3 ตุลาคม 2498 จำเลยเสนอรายการค่าทดแทนนั้นเป็นจำนวนเงิน 152,500 บาท ซึ่งโจทก์ไม่สนองรับ และยืนยันให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยก็ไม่จัดการรื้อถอนออกไป ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนโรงงานสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์รายนี้ และขอให้จำเลยเสียค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาทนับแต่วันฟ้องตลอดไปจนกว่าจะได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยต่อสู้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกห้องแถวอยู่มาในขณะนี้บางส่วนเป็นที่ดินว่างเปล่าสาธารณประโยชน์ บางส่วนเป็นที่ดินของนางกิ่ง ซึ่งยี่ห้อท่งฮั่วเส็งเช่ามาจากผู้มีชื่อปีละ 100 บาทตั้งแต่ พ.ศ. 2487 ชำระค่าเช่าล่วงหน้าไว้แล้ว 1,000 บาท ต่อมานางปรุงใจให้ยี่ห้อท่งฮั่วเส็งชำระค่าเช่าล่วงหน้าไปอีก 4 ปีเป็นเงิน 400 บาท นายซิวจิ๊บจึงใช้ให้จำเลยนำเงิน 400 บาทไปให้แก่นางปรุงใจเมื่อปลายปี พ.ศ. 2495 นับว่าจำเลยมีสิทธิในการเช่าที่ดินต่อไปจนสิ้น พ.ศ. 2501และจำเลยปลูกเคหะเพื่ออยู่อาศัยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ. 2489 มาตรา 16 ค่ารื้อถอนเฉพาะห้องแถว 9 ห้องเป็นราคา 13,500 บาท เท่านั้น นอกนั้นเป็นค่ารื้อถอนของยี่ห้อท่งฮั่วเส็งไม่ได้เกี่ยวข้องกับจำเลย จำเลยหลงเชื่อกลอุบายคิดว่าโจทก์จะให้ค่ารื้อถอนจริง จึงลงชื่อให้ไป
ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ว เห็นว่าจำเลยได้เช่าที่ดินรายพิพาทเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา จากนางปรุงใจเจ้าของเดิมเพื่อใช้ทำโรงงานฟอกหนัง อัตราค่าเช่าปีละ 400 บาท ปรากฏตามสัญญาเช่าหมาย จ.4 หมดอายุการเช่าวันที่ 18 พฤศจิกายน 2496จำ เลยได้ใช้ที่ดินที่เช่าเป็นที่ประกอบกิจการ ฟอกหนังสัตว์ตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าเป็นส่วนสำคัญมากกว่าการอยู่อาศัย จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า โจทก์ได้รับโอนที่ดินรายนี้มา และได้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยแล้วตั้งแต่แรกและตลอดมาจนฟ้อง จำเลยก็ยังขืนอยู่ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงงานสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายเท่าอัตราค่าเช่าแต่วันฟ้องจนกว่าจะได้รื้อถอนออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาข้อ 2(1) ก. และ ข. เท่านั้น
ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงการณ์ของทนายจำเลย และตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
เฉพาะปัญหาตามฎีกาข้อ 2(1) ก. จำเลยคัดค้านว่า ศาลรับฟังสัญญาเช่าหมาย จ.4 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะสัญญาเช่าฉบับนี้มิได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ในขณะยื่นต่อศาล ถึงแม้โจทก์จะได้นำไปเสียค่าปรับและปิดอากรแสตมป์ในภายหลัง ซึ่งจำเลยได้ร้องคัดค้านไว้แล้ว สัญญาเช่าฉบับนี้ศาลจึงรับฟังไม่ได้ในคดีเรื่องนี้โดยต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
ปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารสัญญาเช่าหมาย จ.4 ฉบับนี้โจทก์ได้จัดการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้วตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2499 ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีถึง8 วัน เมื่อเป็นตราสารที่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ขึ้นแล้วก็ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ดังข้อฎีกาของจำเลย
ฎีกาข้อ 2(1) ข. จำเลยคัดค้านว่า เอกสารสัญญาเช่าหมาย จ.4 โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยาน 3 วัน ผิดต่อระเบียบวิธีพิจารณา ศาลจึงไม่ควรรับฟังเอกสารฉบับนี้
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องส่งสำเนาเอกสารให้แก่กันก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วันนี้ ความประสงค์ก็เพื่อให้คู่กรณีมีโอกาสตรวจดูข้อความในเอกสารนั้น ๆ เสียก่อนล่วงหน้า เพื่อที่จะได้มีเวลาพิเคราะห์ว่า ควรจะรับรองเอกสารฉบับนั้นหรือบอกกล่าวคัดค้านประการใดหรือไม่ หากมีเหตุสงสัยอาจร้องขอตรวจต้นฉบับเอกสารฉบับนั้นก่อนก็ได้ เพื่อจะได้เป็นความสะดวกในการซักถามพยานยิ่งขึ้นสำหรับคดีเรื่องนี้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อน และในขณะที่ตัวจำเลยเข้าเบิกความเป็นพยาน โจทก์ได้เสนอเอกสารสัญญาเช่าหมาย จ.4นี้ให้ตัวจำเลยตรวจดู จำเลยก็รับรองว่าได้เซ็นชื่อในเอกสารสัญญาฉบับนี้จริง ปัญหาในเรื่องเหตุอุปสรรคหรือข้อขัดข้องอันใดเช่นกล่าวมาข้างต้นมิได้เกิดขึ้นเลย และเมื่อตัวจำเลยให้การรับรองเช่นว่านั้นแล้ว ศาลก็รับวินิจฉัยให้ได้ ไม่เห็นมีเหตุผลอันใดที่จำเลยจะกลับมาโต้แย้งคัดค้านไม่ให้รับฟัง
อาศัยเหตุผลทั้งหลายดังกล่าวมา ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นให้ยกเสีย โดยศาลฎีกาพิพากษายืน และให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นนี้แก่โจทก์ 50 บาท